top of page

AFRICA : ลำพังซักเดือนในแอฟริกา

  • Writer: prim
    prim
  • Dec 5, 2018
  • 2 min read

Updated: Feb 11, 2020


ree

1 เดือนกับการผจญภัยคนเดียวในแอฟริกา

ตระเวนกางเตนท์นอนท่ามกลางสัตว์

ซึมซับความสวยงามแบบดิบๆของธรรมชาติ

ไปทั้งๆที่กลัว ไปด้วยเงินแสนนิดๆกับ 5 ประเทศ :

ซิมบับเว แซมเบีย บอตสวานา นามิเบีย และแอฟริกาใต้

ree

พริมย่อการเดินทาง 1 เดือนของตัวเองให้ทุกคนได้เที่ยวใน 3 นาทีดูก่อน ถ้าชอบก็อ่านรีวิวยาวๆต่อได้เลย

  • อย่าลืมกด hd

  • เปิดเสียงดังๆ

  • ใครดูไปแล้วแนะนำให้ดูอีกรอบแบบเร่งสปีดไปที่ 1.5 จะตื่นเต้นขึ้นอีกเยอะ


ทั้งหมดมันเริ่มจากการเจอตั๋วถูกไปไนโรบี เคนย่า ราคาไปกลับไม่ถึงสองหมื่นฟื้นความฝันวัยเด็กเกี่ยวกับซาฟารีขึ้นมาอีกครั้ง พริมชวนเพื่อนสมัยประถมให้ไปด้วยกันเพราะรู้ว่านี่ก็เป็นความฝันของเธอ หาข้อมูลด้วยกันมากมายจนความฝันเริ่มมีร่างมีรอยของความจริง แต่สุดท้ายฝันกึ่งจริงนี้ก็สั่นคลอนเมื่อเอ๋ยหนีไปทำงานต่อที่ฟิลิปปินส์พร้อมกับชื่อใหม่ที่เราใช้เรียกเธอเวลาคุยกัน ‘เจ้าเพื่อนทรยศ’ ถึงการเที่ยวคนเดียวจะไม่ใช่ปัญหา แต่นี่คือแอฟริกา กาฬทวีปที่เราไม่รู้อะไรเลย การตัดสินใจลุยเดี่ยวครั้งนี้เลยกังวลๆ

ree

หลังจากสำรวจความสวยของแอฟริกาผ่านกูเกิ้ลอยู่นาน ความคิดที่จะไปคนเดียวซัก 2 ประเทศเริ่มขยายเป็น 5 และจาก 10 วันเริ่มลากยาวเป็น 28 วัน โดยเคนย่าและแทนซาเนียที่ตอนแรกกะจะไปเพราะเหมาะกับมือใหม่หัดซาฟารีก็ไม่ไปแล้ว ช่วยไม่ได้จริงๆเพราะประเทศทางตอนใต้ของทวีปน่าสนใจเกินไป มีอะไรมากกว่าแค่ซาฟารี และเวลา 1 เดือนก็น่าจะยาวนานเพียงพอกับการเที่ยวคนเดียวโดยที่ยังไม่ทันเหงา ซิมบับเว แซมเบีย บอตสวานา นามิเบีย และเคปทาวน์แห่งแอฟริกาใต้ เราจึงได้เจอกันในช่วงปลายฤดูหนาวของที่นู่น สิงหา-กันยา ช่วงเวลาที่น่าเที่ยวที่สุดในความคิดของเรา

ree

พอทริปยาวออกมา 3 เท่า งบที่มีไม่ได้ยาวตามมาด้วย เลยต้องพยายามประหยัดให้มากที่สุด หนทางประหยัดก็คือการนั่งรถบรรทุกและนอนเตนท์นั่นเอง โชคดีว่าที่พักส่วนใหญ่มักมีลานกางเตนท์ให้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่จะไม่ขอตัดงบเด็ดขาดคือที่เที่ยวและกิจกรรม เพราะแอบหวังลึกๆว่าการมาแอฟริกาจะช่วยให้เรากล้าหาญและเข้มแข็งขึ้นได้ การทำกิจกรรมสนุกๆเสี่ยงๆบ้างก็น่าจะเพิ่มไฟให้เราไม่มากก็น้อย ว่ายน้ำริมน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก ห้อยขาบนฟ้า ดำน้ำกับฉลามขาว และเดินเข้าป่าไปซาฟารีใกล้ๆ

ree


ประเทศไหนมีอะไร


ซิมบับเว : เห็นน้ำตกวิคตอเรียในมุมที่สวยสะใจสุดๆ รุ้งนับร้อย ขี่ม้าส่องสัตว์ บินดูน้ำตกจากบนฟ้า

แซมเบีย : เดินข้ามชายแดน เห็นน้ำตกในมุมที่คนน้อยกว่า ว่ายน้ำบนยอดน้ำตกที่สูงที่สุดในโลก

ree

บอตสวานา : ซาฟารีแบบดิบๆ ลุยๆ เดินเท้าเข้าป่า วิ่งตามยีราฟ หนีช้าง กางเตนท์นอนกับสัตว์ พายเรือไปหาฮิปโป ขึ้นเครื่องบินเล็กไปดูสัตว์จากมุมสูง

ree

นามิเบีย : เห็นทะเลทรายเด็ดๆ สัมผัสพายุทรายเล็กๆ ซากต้นไม้หลอนๆ บรรยากาศเหมือนไม่ใช่โลก ซาฟารีที่ไปง่ายๆแต่สัตว์แน่นมาก และเยี่ยมชนเผ่าฮิมบาที่ไม่เคยอาบน้ำ พอกแต่ดิน

แอฟริกาใต้ : มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยสีสัน ความเจริญ เที่ยวง่าย ไปได้ทุกวัย ไปดูเพนกวินเดินบนหาด ดำน้ำกับฉลามขาว ดูวาฬกระโดดทุ่มตัวต่อหน้าไม่หยุด

ree



นอนยังไง


มีบ้างที่นอนโฮสเทล แต่ส่วนใหญ่จะนอนเตนท์ กางๆเก็บๆทุกวันเพราะย้ายที่นอนทุกคืน ทริปนี้เลยต้องแบกหมอนและ sleeping bag ไปเอง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นอนดูดาวและทางช้างเผือกจนหลับ แต่กลับตื่นกลางดึกเพราะพระจันทร์สว่างไป คืนไหนโชคดีได้กางเตนท์บนสนามหญ้าจะรู้สึกเลยว่าผืนดินมันช่างนุ่ม แน่น นอนสบาย คืนไหนนอนบนทรายก็ยวบๆ แต่ไม่ชอบนอนบนพื้นหิน หินก้อนใหญ่ที่ปูดขึ้นมากลางเตนท์ทำให้รู้สึกโดนแทงหลังทั้งคืน ทำให้นึกถึงเจ้าหญิงเมล็ดถั่ว พริมชอบให้ที่นอนสะอาดๆ เลยราดแอลกอฮอล์ขัดถูเช้าเย็นจนมือแห้ง แต่สุดท้ายก็พ่ายให้ความขี้เกียจ เดินเข้าไปร้านชำ คนขายยิ้มแย้มน่ารัก พอพริมบอกต้องการอะไรก็ได้ไปปูเตนท์ เค้าก็พาไปดูทั้งผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว เสื่อ จนสุดท้ายพริมเลือกได้ผ้าปูโต๊ะพลาสติกลายผลไม้ ใช้คุ้มเลย

ree



ห้องน้ำ


วิวดีมาก อากาศถ่ายเท แรกๆก็เกร็งที่รถบรรทุกจอดให้ลงกลางทางอันว่างเปล่า ตอนแรกพริมก็อยากได้ที่ที่ลับตาคนหน่อย เลยยอมเดินผ่านพุ่มหนามเข้าไปลึกๆ แต่ยิ่งเดินยิ่งโดนหนามที่ยาวเท่าไม้จิ้มฟันเกี่ยว เสื้อผ้าขาด เลือดซิบ ผมที่มัดไว้โดนเกี่ยวกระจุยจนหน้าหงาย ตามพื้นมีขนนกกระจายไปทั่ว คิดว่าชะตากรรมคงคล้ายๆกับเรา หลังๆเลยไม่เอาลับตาคนแล้ว ขอพงหญ้าโล่งไปเลยสบายกายกว่า หลังๆมาก็เริ่มชิน ตอนกลับมาเจอห้องน้ำในเมืองมืดๆอับๆยังแอบคิดถึงทุ่งหญ้าของเราเลย เดือนนึงในแอฟริกาทำให้พริมปล่อยวางเรื่องต่างๆได้มากขึ้นอีกนิด ความหน้าบางไม่มีประโยชน์ในทวีปนี้

ree

ตอนไปตั้งแคมป์ในป่า botswana เหมือนเป็นการไปแอบนอนในบ้านของสัตว์ ตอนกลางคืนจึงไม่ควรเดินออกจากเตนท์ไปทำธุระไกลๆ เพราะนักล่าหลายตัวตื่นกันในเวลานั้น ทำใจลำบากเหมือนกันนะให้มานั่งปลดทุกข์หลังเตนท์ ถึงจะอยู่ในความมืดแต่สายตาเราก็ยังมองเห็นคนนั่งริมกองไฟ แถมต้องเบาๆ เดี๋ยวเตนท์อื่นตื่น จะปล่อยไว้โจ้งๆเหมือนกองของพวกสัตว์ก็ยังเขินๆ พยายามหาใบไม้มาปิด แต่ทุ่งสะวันนา จะมีใบใหญ่ซักแค่ไหนกันเชียว

ree



กินอะไร


อาหารที่แอฟริกาอร่อยจนต้องกินมื้อละ 2 จาน ส่วนใหญ่เป็นข้าว พาสต้า มันฝรั่ง ไม่ก็ขนมปัง กินกับเนื้อสัตว์อย่างสตูว์เนื้อวัว แกงกะหรี่แกะ ไก่ย่างและเครื่องใน ซี่โครงหมูบาบีคิว แล้วคนที่นู่นบ้าน้ำจิ้มไก่ไทยซะด้วย จิ้มได้ทุกอย่าง บางทีก็ใส่แฮมเบอเกอร์แทนซอสมะเขือเทศ ถึงขนาดมีเลย์รส thai sweet chilli ของแปลกๆพวกเนื้อม้าลาย เนื้อสัตว์ที่เห็นตอนไปซาฟารีก็ได้กิน ตอนไปสำรวจทะเลทรายยังได้ลองกินเมล็ดพืชที่ปนมากับอึของจิ้งจอกด้วย ไม่อยากบอกเลยว่าหอมมันเหมือนผ่านการคั่วมาอย่างดี บางมื้อหน้าตาอาจดูไม่สะอาด มีทรายปนบ้าง ได้ดื่มน้ำสีเหลืองๆจากแม่น้ำบ้าง แต่ไม่เคยท้องเสียเลย ทั้งที่ปกติเป็นคนท้องเสียบ่อย ส่วนราคาอาหารที่นู่น พริมว่าแพงกว่าบ้านเรา

ree



น่ากลัวมั้ย


ตลอด 1 เดือนในแอฟริกา พริมไม่เจอเหตุการณ์ร้าย ไม่มีสถานการณ์ไหนที่ทำให้กลัวหรือรู้สึกไม่ปลอดภัย อาจเพราะเลือกเที่ยวในที่เที่ยว ไม่ออกไปเดินมืดๆคนเดียวในที่ประหลาด ส่วนโรคติดต่อที่ตอนแรกกลัวถึงกับใส่มาสก์เดินในสนามบิน จริงๆไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เคยรับรู้มาเลย


ที่จริงแล้ว ก่อนเดินทางพริมมองว่าแอฟริกาทั้งตื่นเต้นน่าค้นหาและน่ากลัว ยิ่งพอญาติๆรู้ข่าวก็ยกเรื่องนู้นนี้มาขู่ให้ใจยิ่งฝ่อ ถึงแม้จะไม่ใช่การเที่ยวคนเดียวครั้งแรก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกลัวจนอยากถอยตั้งแต่อยู่ที่สนามบิน น้ำตาไหลไม่อายใครเลย โชคดีว่าพ่อแม่คอยให้กำลังใจ คอยบอกว่าพริมเก่งอยู่แล้ว ทำได้แน่ๆ แค่ขอให้มีสติ ชอบเวลาที่มีคนถามแม่ว่าทำไมถึงกล้าปล่อยลูกไปเที่ยวคนเดียว แม่จะตอบเสมอว่าเชื่อในตัวเรา ดีจัง


ree



เงิน


เตือนก่อนว่าแอฟริกาไม่ใช่จุดหมายที่ถูก พริมเคยฝันจะไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ต้องพับโครงการแล้วเปลี่ยนไปยุโรปแทนเพราะยุโรปถูกกว่าเยอะ (เช่น ในคุณภาพที่พักที่เท่ากัน) เราถึงเห็นกันว่าคนไทยที่ไปแอฟริกาส่วนใหญ่มักไปกันในโอกาสพิเศษๆอย่างฮันนีมูนซะเยอะ ทัวร์ที่ขายกันอาทิตย์เดียวก็ไปไปเป็นแสนไม่รวมตั๋วและกิจกรรมพิเศษอีก ครั้งนี้อยากไปสุดๆ พริมเลยต้องลองไปแบบหอบหมอนผ้าห่มไปกางเตนท์นอนกลางดิน กิน(อิ่มๆอร่อยๆ)กลางทราย แล้วสรุปทริปนี้ก็ประหยัดได้จริงๆ


ได้ยินคนเตือนบ่อยๆว่าควรใช้ moneybelt ซ่อนเงิน แต่เป็นคนไม่ชอบให้อะไรมารัดตัวเลยขอบาย ใช้วิธีพกเงินสดไปน้อยๆแต่พอดีแทน ส่วนใหญ่เอาไว้จ่ายค่าอาหาร เราคำนวณล่วงหน้าอย่างจริงจังว่าวันนึงจะกินเท่าไหร่ วันไหนกินได้ถูกก็มีเงินเหลือไปซื้อขนม ผลไม้ โปสการ์ดเพิ่ม ถ้าอยากช้อปปิ้งหรือซื้ออะไรสนองกิเลสก็รูดบัตรเอา ส่วนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆประเภทค่ากิจกรรม ค่าเดินทาง ที่พัก ก็จัดการจ่ายล่วงหน้าตั้งแต่ที่ไทย เผื่อเงินหายบัตรหายยังไงก็ต้องได้เที่ยว รวมทั้งทริปจ่ายไปประมาณ 125k มันเกินคุ้มกับประสบการณ์ 1 เดือนที่สอนอะไรพริมหลายๆอย่างและคงจะมีค่าไปทั้งชีวิต

การเดินทางสั้นๆให้ความบันเทิง แต่การเดินทางยาวๆสิให้ความเปลี่ยนแปลง


สำหรับเงินสด พริมแบ่งเงินสดเป็น 2 กอง

  1. USD : สำหรับใช้ในซิมบับเว แซมเบีย และเอาไปแลกเป็น BWP pula พูล่า ไว้ใช้ในบอตสวานา

  2. ZAR : สำหรับใช้ใน นามิเบีย และแอฟริกาใต้ จริงๆแล้วแอฟริกาใช้แอฟริกันแรนด์ ZAR แต่นามิเบียใช้นามิเบียนดอลลลาร์ NAD แต่เงินแรนด์มีสภาพคล่องกว่า ใช้จ่าย 2 ประเทศได้เลย จึงแนะนำให้แลกเงินแรนด์จากไทยไปเลยง่ายดี

ree



ผู้คนและภาษา


เท่าที่เจอคือใจดี เป็นมิตร ชอบทักทายกัน ตอนไปถึงใหม่ๆก็กลัว ทำไมแค่เดินสวนกันตามท้องถนนต้องฮัลโหลคนแปลกหน้าอย่างเราด้วย แต่หลังๆก็ทักกลับ คนผิวดำไม่ได้น่ากลับ ไม่มีกลิ่นด้วย ผู้คนแต่ละประเทศอาจคล้ายกัน แต่เคปทาวน์ แอฟริกาใต้ไม่เหมือนที่ไหน ที่นี่มีคนขาวอยู่เยอะประกอบกับเป็นเมืองชายทะเล เลยรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในออสเตรเลีย คิดไว้อยู่แล้วว่าเมืองนี้คงเจริญแต่พอไปเห็นจริงๆก็ยังประหลาดใจ เพราะมันไม่ใช่แค่เจริญในแง่ตึกสูงเมืองใหญ่ แต่ระบบขนส่งมวลชนดี ผู้คนจริงจังกับการประหยัดน้ำ ลดการใช้พลาสติก ที่สำคัญ ทั้ง 5 ประเทศที่ไปพูดภาษาอังกฤษกันคล่อง บางประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก ภาษาราชการ บางครั้งคนที่นู่นยังคุยกันเองด้วยภาษาท้องถิ่นปนอังกฤษเลย ไม่นับชนเผ่าดั้งเดิมนะ

ree


อากาศ


หากยังคิดว่าแอฟริกามีแต่ร้อนตับแล่บ เปลี่ยนความคิดด่วน หน้าหนาวนี่หนาวถึงใจ ช่วงที่ไปถึงใหม่ๆตรงกับปลายฤดูหนาวพอดี กลางวันอาจร้อน 20-35 องศา แต่ลมพัดมาเรื่อยๆก็ทำให้รู้สึกสบาย ถึงวันไหนอุณหภูมิตอนเที่ยงจะสูงพอกับบ้านเรา แต่ที่นู่นสบายกว่าเยอะ เพราะมันร้อนแห้ง เหงื่อระบายได้ดีไม่มีเหนอะตัวให้อึดอัดเหมือน 35 องศาเมืองไทย ส่วนตอนกลางคืนอาจหนาวถึง 0 องศา บางวันเจอพายุทราย ลมแรงจนผ้าใบคลุมเตนท์ปลิวตกเนินไปอย่างไร้ร่องรอย


ปัญหาใหญ่คืออากาศที่แห้งมาก ตอนกลางคืนเห็นแสงสีฟ้าๆแล่บออกมาจากมือจนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นยอดมนุษย์นอนปล่อยพลัง มันคือไฟฟ้าสถิตย์นั่นเอง สวยดี เป็นประกายในความมืด ก็เลยนอนลูบพลาสติกเล่นบ่อยๆ แต่แค่วันแรกทั้งมือและหน้าก็แตกเป็นขุยๆ ซื้อวาสลีนปิโตเลียมเจลมาพอกก็ไม่ช่วย โปะปุ๊บแห้งปั๊บ คนที่นี่ใช้ทาผิวกันเป็นเรื่องปกติ โลชั่นธรรมดาแทบไม่มี ถึงมีคงไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่เขตทะเลทราย กินน้ำไปเท่าไหร่ก็แทบไม่ต้องเข้าห้องน้ำเลย แห้งจนไม่เคยมีเหงื่อ ถึงหน้าจะคลุกฝุ่นสกปรกแค่ไหน แต่เวลาล้างก็ใช้ได้แค่น้ำเปล่าเพราะกลัวหน้าจะหลุดเป็นแผ่นๆ

ree



วีซ่า


1. ซิมบับเว - ขอออนไลน์ล่วงหน้า

2. แซมเบีย - ถ้าไปแบบ day tripper คือเข้าออกภายใน 24 ชั่วโมง ไปขอที่หน้าด่านได้เลย 3. บอตสวานา - ส่งเอกสารทางอีเมลล์ไปขอที่โตเกียว รอเป็นเดือน เมลล์ไม่ตอบ ต้องโทรไปทวงเรื่อยๆ

4. นามิเบีย - ส่งพาสปอร์ตใส่ซองไปขอที่เคแอล ทำงานเร็วมาก ส่งไปและได้คืนภายใน 4 วัน

5. แอฟริกาใต้ - คนไทยเที่ยวฟรีไม่เกิน 30 วัน

ree



วัคซีน


การฉีดวัคซีน 3 เข็ม ไข้เหลือง ไทฟรอยด์ และไข้หวัดใหญ่ ทำให้วันต่อมาเราป่วย หายไม่ทันวันเดินทาง จริงๆไข้เหลืองไม่จำเป็นต้องฉีดสำหรับที่ที่จะไป ถึงจะทรานสิทเอธิโอเปียซึ่งเป็นประเทศเสี่ยงแต่ก็ไม่เกิน 12 ชม ประเทศปลายทางเลยไม่ขอดูเล่มเหลือง ไม่มีใครตรวจอะไร แต่เพื่อความสบายใจก็ฉีดได้ ของพริมฉีดที่ สถานเสาวภา

สำหรับมาลาเรีย คนส่วนใหญ่มักจะกินยาดักไว้ก่อน แต่หมอที่ปรึกษาบอกไม่แนะนำให้กินถ้าสามารถถึงมือหมอได้ภายใน 24 ชม เพราะยาก็ป้องกันแค่ 50% ประมาณว่านักท่องเที่ยวแห่กินจนเชื้อมันพัฒนาหนียาไปหมดแล้ว แทนที่จะป้องกันโรค ก็ป้องกันไม่ให้ยุงกัดเลยดีกว่า แต่ยากันยุงที่ขายในบ้านเรากันยุงไทยยังไม่ค่อยได้เลย ไม่เอาไปใช้ที่แอฟริกาแน่นอน อาจเพราะ deet ค่อนข้างต่ำไม่ก็ใส่ระยะเวลาป้องกันบนฉลากได้โม้ไปหน่อย เลยไปซื้อยากันยุงแบบเข้มข้นของต่างประเทศมาใช้แทน ทาบางๆครั้งเดียวแล้วแต่งตัวมิดชิด แค่นี้ก็ไม่โดนยุงกัดซักตุ่ม

ree



คืนก่อนเดินทาง


จินตนาการไม่ถูกว่าจะกันดารหรือเจริญแค่ไหน เลยหอบแบบคนขนบ้าน มีทั้ง ถุงนอน หมอน ไดร์เป่าผม รองเท้าสำรอง ทิชชู่เปียกจำนวนมหาศาล ไฟฉายหลายอัน คัตเตอร์ ปลั๊กพ่วง และสารพัดยา เสื้อผ้าเอาไปไม่มาก เดี๋ยวไปหาร้านซักได้ แต่เสื้อหนาวขนไป 3 ตัว เพราะคงจะสกปรกมากและซักยาก เรายัดพวกถุงนอนและหมอนลงถุงสูญญากาศเพื่อจะได้จับลงกระเป๋าได้ง่ายๆ จัดเสร็จลองชั่งดู ไม่เลวเลย 14 กิโล


แนะนำปลั๊กหน่อย ส่วนใหญ่ในแอฟริกาจะใช้เป็น type m ลองเสิร์ชรูป socket type m ดูได้ค่ะ

มันจะเป็นขากลม 3 ขาที่ใหญ่มาก ไม่สามารถเอาขากลมเล็ก 2 ขาแบบบ้านเราเสียบได้

adapter ที่อ้างว่าเป็น universal ที่ขายในบ้านเราก็ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเตรียมตัวกันดีๆ จะสั่งซื้อจากนอกหรือไปหาซื้อเอาดาบหน้าก็ว่าไป

ree


วันเดินทาง


วันเดินทางมาถึงพร้อมไข้หวัดที่ลามไปเป็นไซนัสอักเสบ รอบนี้ไปตั้งเดือน พ่อแม่เลยตามมาส่งถึงสนามบิน เรารีบไปเข้าแถวเพื่อดรอปกระเป๋า ในแถวมีแต่คนผิวดำ มีเรายืนหน้าซีดตัวเหลืองอยู่คนเดียว ต่อแถวอยู่นานใจเริ่มแกว่งพิกล ความแปลกแยกทางกายภาพนี่มันทำให้จิตใจรู้สึกโดดเดี่ยวได้จริงๆ ยิ่งพอมีคนดำเดินมาทักแล้วขอฝากกระเป๋าไปกับเรา ยิ่งกลัวไปใหญ่ ตอนพ่อแม่เดินมาสมทบเพื่อร่ำลา เราน้ำตาไหลออกมาเฉยๆ ในหัวไม่เหลือคำว่าอาย ร้องเป็นร้อง กลัว ความอยากเที่ยวหายหดหมดไปแล้ว อยากกลับบ้านตั้งแต่โหลดกระเป๋า! เดินทางคนเดียวก็ออกบ่อย เดินทางเป็นเดือนก็บ่อย แต่ไม่เคยมีน้ำตาเลย รอบนี้แปลก เราร้องกอดแม่อยู่นานแบบลืมอายุ แต่พ่อแม่ก็คอยให้กำลังใจ สู้หน่อย ถอยไม่ได้แล้ว พ่อถามว่ากลัวอะไร กลัวที่คนตัวดำเนี่ยนะ แล้วก็ขำใหญ่ ตอนนั้นเรายังนึกไม่ออกว่าร้องทำไม แต่คิดว่าไม่ใช่เพราะกลัวคนดำแน่

ree



ทรานสิทเอธิโอเปีย


บนเครื่องเต็มเอี้ยดทุกที่นั่ง แอร์บอกไฟลท์นี้บินทุกวันเต็มทุกวัน เครื่องใหญ่และใหม่มาก รู้สึกว่าเบาะกว้างกว่าปกตินิดนึง อาหารก็อร่อย ในแต่ละมื้อมีอาหารให้เลือก 3 อย่าง น้ำผลไม้มี 5 ชนิด เราเก็บขนมปังก้อนที่แจกใส่กระเป๋าไว้เป็นเสบียงฉุกเฉิน ไม่คิดเลยว่ามันจะมีเหตุการณ์ที่ช่วยชีวิตเราไว้ บนเครื่องมีคนจีนเต็มเลย โดนแซงอยู่หลายครั้งแต่ก็รู้สึกขำๆ คุ้นเคยอุ่นใจดี ถ้าเป็นโหมดปกติคงได้พูดออกไปแล้วว่าต่อแถวด้วย เที่ยวบินนี้อะไรก็ดีไปหมด สะอาดทุกจุดยกเว้นท้ายเครื่องที่รกเป็นรัง ขยะชิ้นใหญ่เกลื่อนพื้น ถ้าชิ้นไหนเล็ดลอดออกมานอกโซน คนที่เดินผ่านไปมาไม่ว่าจะเป็นแอร์หรือผู้โดยสารก็จะใช้เท้าเตะให้กลับไปท้ายเครื่อง


พริมทรานสิทที่ addis adbaba เมืองหลวงของเอธิโอเปีย สนามบินเล็กและค่อนข้างเก่า ไฟสลัวติดๆดับๆคงทำให้ที่นี่วังเวงถ้าคนไม่พลุกพล่านขนาดนี้  ห้องน้ำก็น้ำไม่ไหล พนักงานทำความสะอาดต้องคอยเอาถังไปรองน้ำจากก๊อกทีละหยดมาราดชักโครก เราเอ๊กซเรย์กระเป๋าพร้อมกับวางขวดน้ำดื่มไว้ข้างๆ ไม่น่าเชื่อ ผ่านการตรวจได้ทั้งขวด

ree

ความกลัวในใจตัวเอง


ระหว่างรอไฟลท์ต่อไป เลยใช้เวลานี้สำรวจตัวเองว่าทำไมก่อนขึ้นเครื่องถึงร้องไห้แล้วทำไมเจอคนจีนกลับอุ่นใจ จนพบคำตอบว่าไม่ได้กลัวคนดำ ไม่ได้กลัวที่มีคนมาขอฝากกระเป๋า แต่เหตุผลมันเหมือนกับเด็กอนุบาลที่ต้องไปโรงเรียนวันแรก ร้องเพราะรู้สึกไม่มั่นคง ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเอง พอเจอคนจีนเลยเหมือนเจอคนคุ้นเคย ในขณะที่เวลาไปเที่ยวเอเชียหรือยุโรปคนเดียว มันเป็นแค่การไปโรงเรียนวันแรกของเด็กมัธยม ตื่นเต้น แต่ไม่กลัว เพราะคาดเดาได้ ตอนบอกคนรู้จักว่าจะไปแอฟริกาคนเดียวเลยมีแต่คนหาว่ากล้ามาก เปล่าเลย เราเป็นคนขี้กลัวแต่ชอบได้เห็นตัวเองเปลี่ยนแปลง ถ้าอยู่กับบ้านอาจใช้เวลาเป็นปีๆเพื่อหลอมความคิดเปลี่ยนนิสัยบางอย่าง มันช้าจนเรามองไม่เห็นความต่าง แต่เวลาที่ได้เดินทาง มันคือทางลัดที่เปลี่ยนคนได้แบบหน้ามือเป็นหลังมือ  

จากเอธิโอเปีย ต้องต่อเครื่องลำเล็กไป victoria falls เครื่องว่างซักครึ่งลำ นั่งสบายๆแต่การเดินทางไม่ค่อยราบลื่น มีหลุมอากาศให้เครื่องบัมพ์ตลอด ยิ่งช่วงแลนดิ้งยิ่งตื่นเต้น รู้สึกเหมือนเวลารถไฟเหาะวิ่งลงมาเร็วๆแล้วตับไตไส้พุงเราตามมาไม่ทัน มันจะหวิวๆ คนที่นั่งข้างๆทั้งซ้ายและขวาเริ่มหยิบถุงกระดาษออกมากางรอ กว่าเครื่องจะลงจอดสำเร็จ หลายคนก็เสร็จภารกิจโก่งคอกันเรียบร้อย

ree




ภาพทั้งหมดถ่ายด้วย olympus omd em10 mark3

  • เหตุผลที่พริมเลือกเอากล้องรุ่นเล็กสุดในตระกูล omd ไปทริปแอฟริกาฉบับประหยัด เพราะอยากให้เห็นว่าจุดหมายในฝันที่ทุกคนเคยมองว่าแพงและไกลเกินเอื้อม สามารถเป็นทริปที่จับต้องได้ ใครก็ไปได้ ไปแบบไม่แพงก็ยังสวย

  • เช่นเดียวกับกล้องตัวนี้ ความพกง่าย ถ่ายสนุก ในราคาที่กล้าเอาไปลุย จะทำให้ทุกคนได้รูปสวยๆได้ไม่ยาก แต่ต้องพามันออกไปเที่ยวบ่อยๆ


Comments


Serving landscapes as eye candies to recall
those sunny feelings we once left behind

  • Facebook - Black Circle
  • Instagram - Black Circle
  • Pinterest - Black Circle
  • YouTube - Black Circle
S__50495491_edited.jpg

© 2020 Primintheair

All Rights Reserved

© ไม่อนุญาตให้ทำซ้ำ ดัดแปลง ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด ไม่ว่าในรูปแบบใด
bottom of page