top of page

NAMIBIA : อยากให้รู้ก่อนไปนามิเบีย

Updated: Feb 11, 2020


พริมเขียนไว้ 10 ข้อนะคะ สำหรับสิ่งที่อยากให้รู้ก่อนไปนามิเบีย สำหรับที่เที่ยวและประสบการณ์การเดินทาง อ่านได้ที่นี่ค่ะ : NAMIBIA พายุทรายใต้ทะเลดาว

  1. น่ารู้ก่อนไป

  2. เที่ยวเดือนไหนดี

  3. เที่ยวนานแค่ไหนดี

  4. งบเท่าไหร่

  5. บินลงไหนดี

  6. เดินทางในนามิเบียอย่างไรดี

  7. ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด

  8. เงิน

  9. วีซ่า

  10. วัคซีน



 

น่ารู้ก่อนไป


  1. ซาฟารีนามิเบีย : สัตว์ป่าที่นามิเบียอาจไม่หนาแน่นเท่าฝั่งเคนย่าแทนซาเนียซึ่งถือเป็นอันดับ 1 ของการซาฟารี แต่ภูมิประเทศแบบทะเลทรายก็ทำให้ฉากของที่นี่น่าสนใจ แถมยังมีชายฝั่งทะเลที่สามารถดูพวกโลมา วาฬ แมวน้ำ และฟลามิงโกได้อีกด้วย

  2. ความแห้ง : ประเทศนี้ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย อากาศจึงแห้งเกินจะจินตนาการเลยค่ะ สระผมเสร็จแป๊บเดียวแห้ง ผิวหน้าผิวตัวไม่ต้องพูดถึง ขุยขึ้นจนครีมหรือโลชั่นอะไรก็เอาไม่อยู่ สุดท้ายพริมเลยใช้แค่น้ำเปล่าล้างหน้าทุกวัน แล้วก็พอกทั้งตัวและหน้าด้วยวาสลีนปิโตรเลียมเจล คนนามิเบียเค้าใช้กันเป็นเรื่องปกติเลยค่ะ ถ้าไปหน้าร้อนที่มีฝน อากาศอาจไม่แห้งเท่านี้

  3. ไม่ต้องกลัวร้อน : ถ้าเทียบที่อุณหภูมิเท่ากันกับไทย พริมรู้สึกว่าไทยเราร้อนและอึดอัดกว่านามิเบียมาก เพราะนามิเบียความชื้นต่ำ อากาศแห้ง ถึงร้อนเหงื่อออกก็ระเหยออกไปเร็ว มีลมพัดด้วย ทำให้รู้สึกสบายตัวมากกว่า ไม่เหนอะๆเหมือนบ้านเราค่ะ ภูมิอากาศแบบทะเลทรายและกึ่งทะเลทรายทำให้หนาวมากตอนกลางคืนและเช้าตรู่ โดยเฉพาะในหน้าหนาว พริมเจอ 1 องศามาแล้ว ส่วนบ่ายๆก็ 20-30 องศา นอกจากนี้ เมืองหลวงของนามิเบียอยู่สูง 1700 เมตรจากระดับน้ำทะเล จึงไม่แปลกที่จะเจออากาศเย็น (กรุงเทพนี่สูงประมาณ 0-3 เมตร ดอยอินทนนท์ที่สูงสุดในบ้านเราคือ 2565 เมตร)

  4. ไม่ต้องกลัวดำ : ถ้าคุณเลือกไปเที่ยวในหน้าหนาวแบบที่พริมไป ซึ่งเป็นช่วง high season ที่นามิเบียสวยที่สุด คุณจะได้ใส่กางเกงขายาวและแจ๊คเก็ททั้งวันเลยค่ะ ตอนพริมกลับมาทั้งที่บ้านและเพื่อนงงกันหมดว่าทำไมไปแอฟริกาแล้วขาวขึ้น หน้าใสขึ้น ตรงข้ามกับยุโรปลิบลับ อันหลังนี่ดูเหมือนจะขาวแต่ไปกี่ทีก็ดำๆๆ

  5. กลัวยุงหน่อยก็ดี : ถ้าไปในหน้าฝน อาจต้องป้องกันตัวจากยุงที่เป็นพาหะมาลาเรียดีๆ แต่ถ้าเลือกไปในหน้าหนาว (high season) ยุงจะน้อยค่ะ เพราะประเทศจะแห้งมากๆไม่มีที่ให้เพาะพันธุ์ พริมไปหน้าหนาวเลยเจอยุงแค่ตามห้องน้ำนิดหน่อย ถ้ากลัวมากจะอาบน้ำไปเต้นไปเหมือนพริมก็ได้ ส่วนระหว่างวัน ในเมื่อเป็นหน้าหนาวก็ใส่เสื้อแขนขายาวมิดชิดอยู่แล้ว แล้วก็ทายากันยุงเพิ่มแค่นิดหน่อยตามที่ฉลากระบุ บางยี่ห้อจะบอกเลยว่าถ้ายุงธรรมดาทาทุกกี่ชั่วโมง ยุงมาลาเรียทาทุกกี่ชั่วโมง พริมไม่ได้ใช้ยากันยุงของไทยนะคะ เพราะรู้สึกมันอ่อนไปหน่อย ส่วนตัวใช้ deet30 ทาวันละครั้ง ตลอดทริปจึงไม่โดยยุงกัดเลย ไม่จำเป็นต้องกินยาป้องกันมาลาเรียเลยค่ะ นอกจากยุง แมงป่องน่ากลัวกว่าเยอะ ตามที่พักมีป้ายพร้อมรูปแปะเตือนอยู่ตลอดเวลา

  6. อาหารคุ้นเคย : อย่าแปลกใจถ้าคุณจะเจอพวกเนื้อม้าลาย เนื้อแอนทีโลพสายพันธุ์ต่างๆในร้านอาหาร ทั้งๆที่ตอนเช้าคุณเพิ่งเห็นตัวพวกนี้เป็นๆในอุทยานเอง แต่ส่วนใหญ่เค้าจะกินเนื้อวัว เนื้อไก่กันค่ะ หมูไม่ค่อยมี เพราะมีประชากรบางส่วนนับถือศาสนาที่ไม่กินหมู แต่เรื่องรสชาติรับร้องว่าจะคุ้นเคย กินข้าวเป็นหลักเหมือนบ้านเราด้วย

  7. ห้องน้ำและทิชชู่ : ไม่ว่าห้องน้ำนั้นจะลำบากลำบนห่างไกลแค่ไหน แต่ที่นั่นจะมีทิชชู่รอไว้ให้เสมอพายุทราย : เกิดขึ้นได้บ่อยๆในเขตทะเลทรายแบบนี้ แนะนำให้เอามาสก์ไปด้วย พริมเอาแบบเขียวๆไปทรายยังทะลุเข้าจมูกปากได้เลยค่ะ มันละเอียดมาก แทรกซึมเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าได้หมด ถ้าได้ไปใหม่จะลองเอาแบบที่กัน pm 2.5 ไปใช้ดู แต่คำแนะนำคือ ปิดตาจมูกปากหูแน่นๆ แล้วก็ระวังกล้องด้วย คนกล้องเสียในทะเลทรายเยอะ

  8. คอสตูมซาฟารี : จากประสบการณ์ที่เจอมา นักท่องเที่ยวใส่สีฟ้า เขียว สีแดง ก็มีให้เห็นปกติ ไม่ใช่ทุกคนใส่สีซาฟารีเหมือนกันหมดแบบอยู่ในหนังหรอกค่ะ คอสตูมซาฟารีส่วนใหญ่เลยจะเป็นชาวเอเชียที่เตรียมตัวไปแน่นๆซะมากกว่า เนื่องจากทุกคนนั่งอยู่ในรถปิด และสัตว์ก็ไม่ได้เข้ามาใกล้รถมากเท่าอุทยานฝั่งเคนย่าแทนซาเนีย แต่โทนสีแบบซาฟารีก็มีข้อดีคือเปื้อนแล้วดูไม่ค่อยออก เวลาพรางตัวเข้าห้องน้ำในป่าก็กลมกลืนดี แต่ถ้าไม่มีก็แนะนำเป็นเสื้อผ้าสีอ่อน สีธรรมชาติก็พอค่ะ เพราะไม่ร้อนแดด แล้วยุงก็ไม่ค่อยยุ่งเท่าเสื้อผ้าสีเข้ม

  9. ล่าสัตว์ : นามิเบียเป็นประเทศที่นักล่าสัตว์แบบ trophy hunting ใฝ่ฝัน เพราะเป็นไม่กี่ประเทศในโลกที่มีหนทางให้คุณล่า big 5 ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เสือดาว สิงโต ฮิปโป แรด ช้าง หรือสัตว์อะไรก็แล้วแต่ ใบอนุญาตมีขายเป็นแพคเกจ พรานกี่คน ไปกี่วัน เช่าปืนมั้ย นำของที่ระลึกจากการล่าหรือซากสัตว์ออกนอกนามิเบียได้กี่ส่วน แต่ประเทศของคุณจะยอมให้นำเข้ามั้ยนั่นอีกเรื่อง

  10. ต้นไม้ปีศาจ : ถ้าตกหลุมรัก Deadvlei ตั้งแต่แรกเห็นเหมือนที่พริมเป็น รีบยัดนามิเบียลง bucket list เลยค่ะ รับรองว่าจะมีวิวสวยๆอีกมากให้คุณชอบ



 

เที่ยวเดือนไหนดี

  • High Season (Dry Season) 6,7,8,9,10 : ฤดูหนาวของนามิเบีย และถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการซาฟารี อากาศแห้ง ฟ้าใสมาก ไม่เคยเห็นเมฆซักก้อนในนามิเบีย ไร้ฝนแทบจะ 100% สัตว์จึงปรากฏตัวให้เห็นง่ายๆเมื่อออกมาเดินหาแหล่งน้ำกิน ทิวทัศน์ดูแห้งแล้งแบบแอฟริกาที่เคยจินตนาการถึงเลย แหล่งน้ำไม่มี ยุงที่เป็นพาหะของมาลาเรียก็เลยมีให้เห็นน้อยมาก ค่าที่พักตามโรงแรมและทัวร์มีปรับราคาขึ้น ตอนกลางคืนอากาศหนาวมาก อาจถึง 0 องศาในบางพื้นที่ ช่วงเช้าๆก็เย็นสบายมากค่ะ พริมเองไปต้นเดือน 9 รูปทั้งหมดในอัลบั้มนี้ก็เป็นบรรยากาศของ high season ช่วงปลายหน้าหนาวนะคะ ส่วนตัวคิดว่าเป็นเดือนที่ดีที่สุดแล้วเลยเลือกไป หน้าหนาวจริงๆคือเดือน 7,8 ถึงเป็นช่วง high แต่นักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่เป็นคนยุโรปก็ไม่ได้แน่นเกินไปค่ะ เพราะแต่ละอุทยานมันใหญ่มากๆ มีแค่ตแนนั่งรถไฟซาฟารีใน etosha ที่รถเยอะหน่อย

  • Shoulder Season 4,5 : อากาศกำลังดี ไม่ร้อนไป ไม่หนาวไป ท้องฟ้าพอมีเมฆ อาจมีฝนบ้างนิดๆ นักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าช่วง high season ถือเป็นตัวเลือกที่ดีและต้องลุ้นนิดหน่อย เดือน 5 ฝนเริ่มหยุดแล้ว แต่บรรยากาศยังเขียวชอุ่ม เราชอบนะ ถ่ายรูปซาฟารีเขียวๆ แต่บางคนไม่ชอบ เพราะมันดูไม่ค่อยซาฟารีแอฟริกาเท่าไหร่มั้งคะ

  • Low Season (Wet Season) 11,12,1,2,3 : ช่วงเวลาที่ร้อนสุดของปีคือเดือน 12,1 ช่วงเวลาที่ฝนตกชุกสุดของปีคือเดือน 1,2 พวกที่พักหรูๆราคาจะถูกลง ธรรมชาติเป็นสีเขียวมีชีวิตชีวา มีลูกสัตว์เกิดใหม่ให้ตามส่อง แต่ก็แลกมาด้วยข้อเสีย คือ พอฝนตกทุกที่ก็มีแหล่งน้ำ สัตว์ป่าจึงไม่ออกมาเดินโชว์ตัวกันง่ายๆ หญ้าขึ้นสูงจนยากในการส่อง และเมื่อทุกที่มีแหล่งน้ำ ยุงซึ่งเป็นพาหะของมาลาเรียก็เพาะพันธุ์กันมากเช่นกัน



 

เที่ยวนานแค่ไหนดี


ส่วนตัวแนะนำว่าอย่างน้อยก็ซัก 7 วัน

  1. อุตส่าห์ไปตั้งไกล เที่ยวน้อยกว่านี้เสียดายแย่

  2. มีที่เที่ยวสวยๆและแปลกตาเยอะ แต่ละที่กว้างใหญ่ ไปชะโงกๆเอาไม่อิ่มใจแน่นอนค่ะ

  3. แต่ละที่อยู่ไกลจากกัน

พริมไป 10 วัน ไม่รู้สึกเบื่อเลยค่ะ แต่ถ้าเวลาน้อยก็คงตัดเหลือ 7 วัน อย่างน้อยต้องเที่ยวที่เด็ดๆให้ครบ เช่น ทะเลทราย Namib Naukluft / ซาฟารี Etosha / และเที่ยวชายฝั่งทะเล Walvis Bay กับ Swakopmund



 

งบเท่าไหร่


จริงๆพริมไปเที่ยว 1 เดือน 5 ประเทศ ตั๋วเครื่องบินก็ไม่ได้นามิเบียตรงๆ

แต่ก็ลองประมาณราคาสำหรับการไปเที่ยวนามิเบียคนเดียว 10 วันมาให้ค่ะ

ว่าถ้าต้องบินแค่นามิเบียจริงๆจะเท่าไหร่ ค่าเที่ยวกินนอนจะอยู่ที่เท่าไหร่

*สำหรับทวีปแอฟริกาแล้วไปคนเดียวนี่แพงค่ะ หลายๆอย่างชอบบวกเพิ่มโทษฐานที่ไปคนเดียว

  • ค่าวีซ่าและการส่ง fedex ไปขอวีซ่าที่มาเลเซีย : 3000 บาท

  • ค่าตั๋วเครื่องบิน เริ่มต้นที่ : 26000 บาท

  • ค่าวัคซีน : 0 บาท

  • ถ้าไปเที่ยวโดยอาศัย local tour รวมที่เที่ยว กิจกรรม ที่พัก อาหารทุกมื้อ แถมรวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวในการซื้อน้ำดื่ม ผลไม้ ขนมกินเล่นในแต่ละวัน สำหรับพริมคือตกที่วันละ : 3500 บาท (10 วัน = 35000 บาท)

หมายความว่าถ้าไปเที่ยวแค่นามิเบีย 10 วัน และไปคนเดียว

ก็จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 64000 บาท


ถ้าไปคนเดียวแล้วเช่ารถรวมน้ำมันน่าจะแพงกว่านี้มาก

แต่ถ้าไปหลายคนหารค่ารถกัน ราคาก็น่าจะประมาณนี้เหมือนกันค่ะ

ค่าอาหารในร้านอาหาร ค่าชนม หรือของสดของแห้งในซุปเปอร์มาร์เก็ต รวมถึงพวกสบู่แชมพูอะไรต่างๆ พริมรู้สึกว่ามันแพงกว่าบ้านเราค่ะ นามิเบียไม่ใช่ประเทศถูกๆ



 

บินลงไหนดี

  • Bangkok - Windhoek : จากกรุงเทพไปเมืองหลวงของนามิเบียที่ชื่อวินดุก (ไม่ออกเสียงตัว h) ไม่มีเที่ยวบินตรง แต่สามารถเลือกบินทรานสิทได้ : เอธิโอเปีย กาตาร์ ราคาจะเริ่มที่ประมาณ 33xxx

  • Bangkok - Johannesburg / Johannesburg - Windhoek : เป็นเส้นทางที่ถูกลงหน่อย คือบินไปกลับกรุงเทพโจเบิร์ก แล้วไปซื้ออีกขาคือโจเบิร์กวินดุก ราคารวมก็จะเหลือ 26xxx แล้วได้เที่ยวแอฟริกาใต้เพิ่มด้วย เท่าที่พริมหาๆมา เส้นทางที่ถูกสุดในการเข้าถึงทวีปแอฟริกาคือเมือง Johannesburg แอฟริกาใต้นี่แหละค่ะ

  • Bangkok - X / Y - Bangkok : ถ้ากะไปเที่ยวหลายประเทศ ซื้อตั๋ว multiple cities บินลง-บินกลับคนละเมืองกันเลยก็มักจะได้ราคาถูกลงนะคะ เช่นบินลงนามิเบีย กลับจากแอฟริกาใต้




 

เดินทางในนามิเบียอย่างไรดี

  • เช่ารถขับ : 1 ในวิธีที่สะดวกที่สุดสำหรับการท่องเที่ยวนามิเบียถ้าไปหลายคน เพราะที่เที่ยวต่างๆอยู่ไกลออกไปจากตัวเมือง แถมมีอิสระเต็มที่ในการชื่นชมที่เที่ยว ขับรถเลนซ้ายเหมือนไทยเราด้วยค่ะ ถนนหลักราดยางเรียบดี แต่พอเข้าที่เที่ยวก็มีทั้งทรายและหินปุเลงๆพอควร ขับรถเที่ยวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับคนเที่ยวคนเดียว เพราะค่าใช้จ่ายจะสูง และประเทศนี้ใหญ่มาก บางทีคุณขับบนถนนคนเดียวมีปัญหาขึ้นมาก็หาคนช่วยได้ยาก เช่นการขับไปเที่ยวในอุทยานซึ่งกว้างใหญ่มาก ขับไปเที่ยวในทะเลทราย ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักเช่ารถที่มาพร้อมกับเตนท์ในตัว คือเหนือหลังคารถสามารถเปิดมาเป็นเตนท์ได้เลย ถ้าไม่สะดวกขับเองจะเช่ารถพร้อมคนขับได้ค่ะ

  • ทัวร์ท้องถิ่น : 1 ในวิธีที่สะดวกมากสำหรับคนที่ไปคนเดียวหรือไม่อยากขับรถเที่ยวเอง มีนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก ส่วนใหญ่เป็นคนยุโรปวัยประมาณ 30 ค่ะ มีให้เลือกหลายระดับราคา เดินทางกันด้วยรถบรรทุก เริ่มหรือจบที่เมืองไหนแล้วแต่เราซื้อ พริมก็เลือกวิธีนี้ค่ะ ทัวร์ที่พริมเลือกมีตู้เย็นเก็บของสด ถึงทำเลเหมาะๆก็จอดรถ แล้วแม่ครัวประจำรถก็จะลงมาต้มผัดแกงทอดให้กินสดใหม่ทุกมื้อ ตักกินกันแบบบุฟเฟ่ต์เลย วิวธรรมชาติของจริง

  • รถบัส : วิ่งส่งแค่พวกเมืองใหญ่ๆ แต่ไม่ได้ผ่านพวกที่เที่ยว คุณจะเข้าไปเที่ยวสถานที่เที่ยวต่างๆไม่ได้ อย่างไปอุทยานส่องสัตว์ Etosha, ไปทะเลทราย Namib ที่มี Deadvlei หมดสิทธิ์เลย

  • รถไฟ : เหมือนรถบัสเลยค่ะ ตรงที่วิ่งแค่เมืองใหญ่ แต่แย่กว่าตรงที่รถไฟวิ่งช้ามาก ใช้เวลาเดินทางเพิ่มเป็น 2 เท่าจากรถปกติ



 

ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด

  • Namibia Naukluft National Park : อุทยานที่ใหญ่ติดอันดับต้นๆของทวีปแห่งนี้เป็นทะเลทรายเก่าแก่ที่สุดในโลก ยังมี Dune 45 ภูเขาทรายสูงใหญ่สีส้มแดง ยังมีทั้ง Sossusvlei และ Deadvlei ต้นไม้ปีศาจด้วย พริมชอบสุดในนามิเบียเลยค่ะ

  • Etosha National Park & Salt Pan : เป็นอุทยานในการซาฟารีส่องสัตว์ที่ใหญ่สุดในนามิเบีย สัตว์เยอะมาก ขับรถตามล่ากันเป็นวันๆก็ไม่ทั่วอุทยาน

  • Walvis Bay & Swakopmund : เมืองชายทะเลบรรยากาศน่ารัก ทะเลแถบนี้นี้มีทั้งฟลามิงโก แมวน้ำ โลมา และวาฬด้วย รวมทั้งมีทะเลทรายที่ตั้งติดทะเล

  • Skeleton Coast National Park : เป็นทะเลทรายที่ตั้งชิดขอบทะเล ได้ชื่อนี้มาเพราะชายฝั่งมีซากเรือหลอนๆอยู่เต็ม คลื่นลมแรงๆทำให้ที่นี่มีหมอกมีพายุทรายตลอด มีเกาะแมวน้ำอยู่ไม่ไกลด้วย

อ่านและดูรูปที่เที่ยวแบบเต็มๆได้ที่นี่ : NAMIBIA ในพายุทรายใต้ทะเลดาว



 

วีซ่า


ต้องส่งพาสปอร์ตไปขอที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียค่ะ เนื่องจากไม่มีสถานกงสุลที่ไทย

ใช้เวลาเร็วมาก ได้รับถึงมือเรียบร้อยภายใน 4 วันรวมส่งไปส่งกลับ พริมใช้บริการของ fedex ค่ะ โดยสิ่งที่ต้องมีในซอง คือ

  1. พาสปอร์ตตัวจริงและสำเนาหน้าที่เกี่ยวข้อง

  2. รูปถ่าย x2

  3. สำเนาตั๋วเครื่องบิน หรือ สำเนาที่พัก

  4. สำเนาบัตรเครดิต

  5. เงินสดค่าวีซ่า 225 rm หรือ 75 usd ก็ได้ค่ะ (พริมจ่ายเป็นเงินริงกิตมาเลย์เพราะถูกกว่ามาก)

  6. (ซอง fedex อีกซองที่จ่าหน้าถึงตัวเอง พับใส่เข้าไปเลย ทางนู้นจะได้ส่งกลับมาได้ง่ายๆค่ะ)



 

วัคซีน

  • ไข้เหลือง : เนื่องจากนามิเบียไม่ได้เป็นประเทศเสี่ยงสำหรับไข้เหลือง จะฉีดหรือไม่ฉีดก็ได้ค่ะ ส่วนตัวพริมฉีดเผื่อๆไว้

  • มาลาเรีย : หมอที่คลินิคนักท่องเที่ยวไม่แนะนำให้กินยาป้องกันค่ะ เพราะยาป้องกันได้แค่ไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้น ถึงกินยาก็ต้องรีบออกมาหาหมออยู่ดี ควรกินเฉพาะคนต้องไปเที่ยวที่ห่างไกล คือไม่สามารถออกมาถึงมือหมอได้ภายใน 24 ชั่วโมง พริมเลยใช้วิธีฉีดยากันยุงแทนค่ะ ทั้งทริปไม่โดนยุงกัดเลย การเลือกไปในช่วงหน้าหนาวที่ไม่มีฝน ทำให้แทบไม่เจอยุง


 

เงิน


เงินของเค้าคือ namibian dollar แต่ค่ามันเท่ากับ african rand จึงสามารถใช้ได้ทั้ง 2 สกุล

แต่แนะนำให้ใช้สกุลแรนด์ของแอฟริกาใต้ค่ะ เพราะสะดวก สามารถแลกไปจากที่ไทยได้เลย

ไม่ต้องไปเดือดร้อนหาที่นู่น และก็ไม่ต้องเสีย 2 ต่อโดยการแลก usd ไปเปลี่ยนเป็นเงินนามิเบียด้วย

  • 1 บาท = 2.3-2.5 แอฟริกันแรนด์



 

กล้องถ่ายรูป


ตอนแรกถามเพื่อนที่ไปซาฟารีฝั่งเคนย่าก่อนว่าใช้เลนส์ซูมระดับไหน เพราะเค้าถ่ายรูปสัตว์มาใกล้มากๆ สรุปเค้าใช้แค่มือถือเองค่ะ แต่พอไปค้นเพิ่มเองเลยเข้าใจว่าธรรมชาติของสัตว์และอุทยานแต่ละที่นั้นต่างกัน สัตว์ในนามิเบียไม่ได้ออกมาใกล้ชิดนักท่องเที่ยวเท่าทางฝั่งนู้น ทริปนี้เลยงัดเลนส์ซูมไปด้วย

พวกม้าลาย สัตว์ที่อยู่เป็นฝูงใหญ่ๆจะถ่ายได้ใกล้มาก แต่พวกสิงโตที่ซ่อนๆ ซูมเต็มที่ยังตัวเล็กเลยค่ะ แต่รวมๆแล้วพริมว่าเอาอยู่ พอใจมาก

  • กล้อง : Olympus omd em10 mark 3 ร่วมกับเลนส์เทเลคือ m.zuiko 40-150 f2.8 pro (เทียบเท่าเลนส์ระยะ 80-300mm) ส่วนเลนส์ระยะธรรมดาเอาไปตามถนัดได้เลยค่ะ

ถ้าอยากไปถ่ายรูปสัตว์ที่นามิเบียจริงๆ ควรมีเลนส์ที่อย่างน้อยระยะเทียบเท่า 𝟹𝟶𝟶 mm
  • ขาตั้งกล้อง : ไม่มีที่ให้กางขาตั้งเวลาถ่ายสัตว์เลยค่ะ อยู่บนรถตลอด รู้สึกคิดถูกที่ไม่เอาไป

  • แบตกล้อง : สำรองเพิ่มอย่างน้อยอีก 1 ก้อน เผื่อไว้ก่อนดีกว่าค่ะ บางคืนไม่มีที่ชาร์จด้วย

  • SD card : พริมถ่ายเป็น jpeg วันละ 200-300 รูป เมมประมาณ 16gb กำลังดีสำหรับพริมค่ะ




 

สำหรับที่เที่ยวและประสบการณ์การเดินทาง อ่านได้ที่นี่ค่ะ : NAMIBIA พายุทรายใต้ทะเลดาว


bottom of page