นอกจากหัวหินจะมีทะเลที่สวยมากแล้วอย่างที่เคยรวบรวมไว้ใน เปรียบเทียบทะเลหัวหินใน 12 เดือน
รอบๆ หัวหินยังมีที่เที่ยววิวธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งมีภูเขาให้ปีน มีป่าเขียวๆ ให้ส่องสัตว์ มีวาฬในทะเล มีบึง มีนา มีดอกไม้ พริมสะสมที่เที่ยวรอบๆ ไว้เยอะเพราะแวะไปนู่นนี่ทุกครั้งที่ไปหัวหิน แต่ขอคัดแค่ 10 ที่ที่ประทับใจที่สุดเอามาแนะนำในบทความนี้นะคะ บางที่ทุกคนอาจจะเคยไป แต่คิดว่าการไปต่างช่วงเวลากันก็อาจให้ภาพที่แตกต่างได้
บทความนี้น่าจะเหมาะสำหรับคนที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศการไปเที่ยวหัวหินให้หลากหลายขึ้น หรือคนที่กำลังเบื่อเวลาเพื่อนชวนไปเพราะรู้สึกไม่เห็นมีอะไรเที่ยวเลย ต่อจากนี้จะมีแล้วนะคะ หลายสถานที่อยู่นอกหัวหินก็จริง แต่สามารถไปแล้วกลับมานอนหัวหินได้สบายเหมือนเป็น one day trip ตัวพริมเองก็เลือกนอนหัวหินตลอด เพราะตอนกลางคืนคึกคัก มีอาหารให้เลือกหลากหลายดี
เขาแดง สามร้อยยอด
ดูวาฬ ดูตาล และดูนา แหลมผักเบี้ย
ซาฟารีส่องสัตว์ในป่ากุยบุรี
บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด
เขื่อนปราณบุรี หมึกแดด และสับปะรด
ป่าชายเลน วนอุทยานปราณบุรี
วนอุทยานท้าวโกษา
เขาหินเหล็กไฟ
หาดหัวหินที่สวยตลอดปี + InterContinental Huahin
จุดชมวิวที่สวยและสูงที่สุดในหัวหิน + Holiday Inn Vana Nava *** และอย่าลืม คลิกเพื่อลุ้นที่พักฟรีมูลค่า 4500 บาท
1️⃣ เขาแดง อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด
เหตุผลที่เลือกเขาแดงขึ้ินมาอันแรก ไม่ใช่เพราะวิวจากบนเขาแดงเอง แต่เพราะชอบวิวน้ำสีแดงๆ ฟ้าๆ ท่ามกลางพื้นดินที่แห้งแตกรอบเขาแดงค่ะ มันอาจมีแร่ธาตุอะไรบางอย่างแบบน้ำที่ฟลามิงโก้ชอบอยู่ก็ได้ พริมเคยขับรถผ่านเส้นนี้หลายครั้งแต่เพิ่งบังเอิญเจอรอบนี้
ครั้งแรกที่มาเขาแดงขึ้นไม่สำเร็จ เพราะเป็นช่วงเย็นในฤดูฝน ยุงลายจึงชุมแบบยากันยุงก็เอาไม่อยู่ ขนาดพอกแขนขาไปมันยังกล้ามาเกาะพร้อมกันเป็นสิบตัว ที่โหดคือสะบัดแขนก็แล้ว วิ่งก็แล้ว แต่ยุงก็ยังเกาะไม่ปล่อย จนต้องรีบหนีขึ้นรถกันหมด
ถึงภูเขาหินสีเทาเข้มที่ตั้งตรงหน้าจะดูสูงชันจนไม่น่าเชื่อว่าจะเดินขึ้นไปได้ แต่ทางเดินจริงๆ ไม่ยาก มีแค่ทางบางช่วงจะงงๆ หน่อยเพราะป้ายบอกทางปักห่างกัน เมื่อเดินถึงจุดที่มีเชือกให้ไต่เกาะนั่นคือเพิ่ง 1/4 ของทางขึ้นนะคะ ช่วงไหนหินก้อนสูงใหญ่เราก็อาศัยจับต้นไม้โหนขึ้นลงช่วยทุ่นแรงได้ ส่วนตอนลงช่วงที่ชัน พริมก็นั่งถัดๆ ลงมาเพราะมันเร็วกว่า ปรากฏกางเกงขาดเป็นรูเท่ากำปั้น 😳 แสดงว่าวิธีนี้ไม่ควรทำ 55
ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นก็ขึ้นไปถึงด้านบนได้สำเร็จ บนนี้ไม่มีต้นไม้ใดสูงพอจะให้ร่มเงาได้อีกแล้ว ความร้อนอบอ้าวและแดดเที่ยงเลยเล่นเอาตาพร่าจนเกือบเป็นลม สุดท้ายจึงต้องขยับลงมานอนพักใต้ต้นไม้ให้หายดีแล้วขึ้นไปใหม่ ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือกลางฤดูฝนจริงๆ ดินรอบตัวที่พริมนอนอยู่แห้งจนแตก เงยหน้าดูก็เห็นใบไม้ที่แห้งกรอบนิ่งสนิท ไม่มีแม้ลม ถึงว่าตอนเที่ยงไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย 😅
จากจุดชมวิวบนยอดเขาแดงนี้ วิวแรกที่เห็นคือทะเลค่ะ เห็นแล้วอาจจะคิดว่าเนี่ยนะที่ถ่อขึ้นมา แต่เมื่อไหร่ที่เดินอ้อมพุ่มไม้ลอดไปด้านหลัง บอกได้เลยว่าจะรู้สึกเกินคุ้มในทันที เพราะวิวที่รออยู่คือเขาหลายร้อยยอด มีทั้งที่อยู่ใกล้และไกล ไล่ต่ำลงมาก็จะเป็นบล็อคนากุ้ง แต่ละหลุมสีฟ้าคนละเฉดสวยดี แล้วล่างสุดเป็นกลุ่มหมู่บ้านชาวประมงที่ดูเล็กจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับภูเขา
🚗 — เขาแดง 60 กม.จากหัวหิน ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
📆 — เปิด 8.00-15.30 สวยสุดตอนพระอาทิตย์ขึ้นลง อยู่นอกเวลาทำการ แต่ขึ้นได้ถ้าติดต่อล่วงหน้า
⏰ — เดินขึ้นลงเขาไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมง
💰 — ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท ใช้ได้ทุกที่ทั้งวัน ต้องจ่ายที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่เยื้องไป
2️⃣ แหลมผักเบี้ย ดูวาฬ ดูตาล ดูนา
ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดูวาฬบรูด้า (Bryde) ที่สมุทรสงคราม เพราะขับรถเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพเท่านั้น แต่มารู้ทีหลังว่าเรือจากที่นี่ต้องเหมาทั้งลำ ถ้าไปขึ้นที่เพชรบุรีสามารถจ่ายเป็นรายหัวได้ ทริปนี้จึงขับรถยาวไปแหลมผักเบี้ยที่เพชรบุรีแทนค่ะ ห่างจากหัวหินแค่เพียงชั่วโมงเดียว สามารถแวะดูวาฬแล้วตรงต่อไปเที่ยวหัวหินได้เลย ระหว่างทางยังได้เที่ยว สวนตาล และทุ่งนาด้วย
บนเรือประมงขนาดกลางที่ทุกวันใช้หาปูม้าแต่วันนี้จะพานักท่องเที่ยวไปดูวาฬ อากาศยามเช้าบนเรือค่อนข้างหนาว ยิ่งเรือแล่นเร็วๆ จนน้ำทะเลสาดขึ้นมาเปียกไปทั้งตัวก็ยิ่งหนาวจนตัวสั่น เมื่อมีเรือลำไหนเจอวาฬก่อน เค้าก็จะส่งสัญญาณตามสายมาบอกพิกัด จึงไม่ยากเลยที่จะได้เห็นบรูด้า เดี๋ยวมุดดำตรงนู้น ไปโผล่ตรงนั้น มีครั้งนึงที่กำลังหาๆ กันอยู่ว่าหายไปไหนแล้ว มันกลับโผล่ขึ้นข้างเรือที่พริมนั่งเลย ตอนนั้นคือตกใจจนหงายหลังจริงๆ 55 ตัวใหญ่กว่าเรืออีก
🚗 — ท่าเรือแหลมผักเบี้ย 60 กิโลเมตรจากหัวหิน ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
📆 — ปีนึงดูวาฬได้แค่ 4 เดือนสุดท้ายของปี คือกันยายน-ธันวาคม เรือออกแค่ 8 โมงเช้า
⏰ — ปกติใช้เวลาบนเรือ 4-5 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่เจอวาฬก็จะหาไปเรื่อยๆ ตอนพริมไปนี่ 7 ชั่วโมง
💰 — ค่าเรือพร้อมอาหารเช้าเที่ยงคนละ 800 บาท หรือเหมาลำไม่รวมอาหาร 5300 บาท
จากที่ตั้งใจจะถ่ายรูปวาฬมาลงในนี้ให้เป็น 1 ใน 10 ที่เที่ยววิวสวย แต่เสียดายที่วันนั้นอากาศไม่ค่อยแจ่มใส คลื่นลมค่อนข้างแรง เลยไม่มีแม้แต่รูปวาฬอ้าปากกินลูกปลา ข้อนี้เลยขอแถมวิวจากทุ่งนาที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเข้าไปด้วย ขับรถผ่านไปตอนเช้าตรู่แล้วประทับใจมาก ทั้งทุ่งนาเต็มไปด้วยต้นข้าวสีเขียวอ่อนใสดูสดชื่น ท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อนมีหมอกสีทองลอยบางๆ
ตอนแรกคิดอยู่ว่าจะพินจุดมาบอกยังไง เพราะตัวเองก็แวะตามรายทาง จนบังเอิญขับเจอร้านกาแฟริมทุ่งนาเข้าพอดี คือ นาตาชม นาตามี
👉🏼 แนะนำขับรถเที่ยวชมทุ่งนายามเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วพอ 8 โมงเช้าร้านเปิดค่อยแวะไปค่ะ ไปแต่เช้าจะได้เดินเล่นบนสะพานไม้ที่ตัดผ่านทุ่งนาแบบไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น เงียบสงบดี
ถ้าเลือกไปได้ที่เดียว ส่วนตัวจะเลือกนาตาชมค่ะ ถึงเล็กกว่าและไม่ใช่นาโล่งกว้างเพราะมีต้นตาลขึ้นแซม แต่มันดูแล้วเป็นเพชรบุรีดี สถานที่กะทัดรัดแต่จัดสรรได้สวยกว่าด้วย
ส่วนนาตามี มีทุ่งนาที่กว้างขวาง มีศาลาให้นั่งปลูกเรียงรายอยู่รอบทุ่งนา แต่ตามคันนาและศาลามีขยะจากลูกค้าเมื่อคืนทิ้งไว้เละเขละไปนิด แสดงว่าที่พริมเห็นตอนเช้าคนโล่งแบบนี้ ตอนเย็นคนต้องแน่นมากแน่
🚗 — นาตาชมและนาตามี 70 กิโลเมตรจากหัวหิน ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
📆 — เปิด 8:00-18:00 เที่ยวได้ทั้งปี แต่นาข้าวจะเขียวสวยช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน (หากปีนั้นทำนาปรังต้นปีก็จะเขียวอีกที)
⏰ — อย่างน้อยน่าจะซัก 30 นาที
💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ
เที่ยวนาแล้วอย่าลืมแวะไปเที่ยวสวนตาลกันต่อ ต้นตาลและขนมหวานนี่ของขึ้นชื่อเมืองเพชรเลย พริมเลือกแวะสวนตาลลุงถนอม มีต้นตาลสูงใหญ่ปลูกเป็นแนวทิ้งระยะสวยงาม ลุงที่ปีนต้นตาลอย่างแคล่วคล่องอนุญาตให้ถ่ายรูปแกตอนปีนแถมยังใจดีให้ความรู้ทั้งเรื่องต้นตาลและขนมตาลสีเหลืองฟูด้วย พริมไปตอนเย็นมากแล้วเลยไม่ได้เห็นสาธิตการกรีดตาลและทำน้ำตาลสด แต่ก็ได้ลอมน้ำตาลสดหอมกลิ่นไหม้นิดๆ อร่อยดี
🚗 — สวนตาลลุงถนอม 60 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
📆 — เที่ยวได้ทั้งปี เพราะลูกตาลออกทั้งปี 8:00-18:00 ถ้าไปเช้าวันหยุดจะมีสาธิตวิถีต่างๆ
⏰ — อย่างน้อยน่าจะซัก 30 นาที
💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ
3️⃣ ซาฟารีส่องสัตว์ในป่ากุยบุรี
สำหรับการส่องสัตว์ ไม่มีใครรู้ว่าวันที่ไปจะได้เจอสัตว์ป่าจริงมั้ย อย่างเคยไปรอดูกระทิงทางฝั่งเขาใหญ่ทีไรก็ยังไม่เคยเจอ แต่มากุยบุรีทีไร บอกได้เลยว่าเจอสัตว์ใหญ่เยอะทุกครั้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผืนป่ากุยรีค่อนข้างเล็ก สัตว์กินพืชจึงขยายเอาๆ นักท่องเที่ยวอย่างเรามาซาฟารีที่นี่แต่ละทีจึงมีความหวัง
ครั้งล่าสุดพริมไปคนเดียวเลยนั่งรอหาคนหารอยู่ข้างหน้าตั้งแต่บ่าย เพราะเคยมาเย็นแล้วไม่มีคนให้หาร ระหว่างรอเลยคุยกับน้องเจ้าหน้าที่ไปพลางๆ จึงได้รู้ว่าไกด์และคนขับเป็นชาวบ้านในบริเวณนี้ที่เคยเจอปัญหาสัตว์ป่าบุกรุกพื้นที่ไร่สวนมาก่อน แต่เมื่อได้มารวมกลุ่มกันเป็นชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี เลยเหมือนได้เข้าใจสัตว์ป่ามากขึ้น ได้รายได้จากการพานักท่องเที่ยวเข้าไปด้วย ปัญหาระหว่างสัตว์ป่าและชาวบ้านเลยลดลง น้องเจ้าหน้าบอกด้วยว่าป่านี้มีช้างอยู่ราว 300 ตัว กระทิงประมาณ 250 ตัว วัวแดงที่ชอบรวมฝูงกับกระทิงอีก 7 ตัว เสือก็มีบ้างแต่ชอบข้ามออกไปหากินฝั่งพม่า ส่วนช้างกระทิงไม่ย้ายไปไหนเพราะอาหารการกินยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ พริมลองถามว่าช้างลดลงมั้ย เพราะชอบได้ยินข่าวเรื่องสัตว์ป่าเหลือน้อยบ่อยๆ แต่กลายเป็นว่าช้างป่าในกุยบุรีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ ในอีกไม่ถึงสิบปีอาจเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ปัญหาใหญ่สุดตอนนี้เลยเป็นเรื่องเลือดชิดค่ะ นี่ก็ไม่คิดเลยว่าเย็นวันนั้นเมื่อเข้าป่าไปก็จะได้เห็นผลพวงนี้กับตา
ในที่สุดก็ได้คนหาร โดยรถที่จะพาเข้าไปเป็นรถกระบะที่มีไม้พาดให้นั่ง และมีไกด์ท้องถิ่นอีกคน เราจะเข้าป่าไปยาวๆ จนถึง 5-6 โมงที่เค้าปิดก็ได้ หรือจะดูชั่วโมงเดียวแล้วกลับเลยก็แล้วแต่เรา
แต่ถ้าระหว่างทางเจอสัตว์ก็บอกให้คนขับช่วยหยุดได้ เมื่อเข้ามาได้สักพัก ก็ได้เจอช้างหนุ่มตัวใหญ่ออกมาเดินอยู่ริมทางรถพอดี รถจึงได้แต่เคลื่อนตามช้างไปแบบช้าๆ
จนเมื่อมาถึงจุดชมวิวหลัก ก็ได้เจอทั้งกระทิงฝูงใหญ่กว่า 50-60 ตัวพร้อมลูกเล็กและวัวแดงออกมากินหญ้ากันพอดี ระหว่างทางยังได้เจอกระทิงโทน เก้ง รวมถึงจิ้งจอกทองระหว่างทางด้วย
ที่แปลกสุดคือเจอลูกช้างเดินอยู่กลางป่าตัวเดียวทั้งที่ปกติช้างเด็กแบบนี้จะอยู่รวมฝูง พ่อแม่ไม่มีทางทิ้งให้เผชิญโลกตามลำพังเด็ดขาด แต่เห็นหลังมันดูคดๆ จึงเป็นไปได้ว่าคงป่วยหรือพิการเลยเดินตามฝูงไม่ทัน ทำให้ถูกปล่อยหลงอยู่ตัวเดียว สงสาร ฟังแล้วคำว่าโอฮาน่าของสติทช์ในแอนิเมชั่นเรื่องโปรด Lilo & Stitch ลอยเข้าหัวเลยค่ะ
Ohana means family. 🌺 Family means nobody gets left behind or forgotten.
แต่นี่แหละคือผลพวงของเลือดชิด เพราะป่ากุยบุรีมีขนาดเล็ก แถมยังถูก เมือง หมู่บ้าน และถนนตัดกั้นไปหมดแล้ว ไม่ได้ใหญ่โตเชื่อมกับป่าอื่นๆ มากมายอย่างทางทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง หรือเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ช้างกุยบุรึจึงได้แต่ผสมพันธุ์วนกันเองอยู่ในนี้ด้วยสายเลือดที่ใกล้ชิด (inbreeding) จึงมีโอกาสสูงให้ยีนส์เด่นแสดงอาการผิดปกติออกมาได้ง่าย ป่วยง่าย ไม่แข็งแรง เมื่อโตมาช้างกุยบุรีก็จะดูตัวเล็กและไม่ถึกทนเท่าช้างทางป่าใหญ่ ซึ่งปัญหานี้ต่อไปคงจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แค่บ่ายวันนี้วันเดียวยังเจอลูกช้างไม่แข็งแรงถูกครอบครัวทิ้งไว้ข้างหลังถึงสองตัว
พริมมาที่นี่ 3-4 ครั้งแล้วก็ยังประทับใจและยังอยากกลับมาอีก ได้เจอสัตว์หลายตัวและได้ความรู้ใหม่ๆ จากสมาชิกบนรถด้วย ไม่ว่าจะมาหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว ป่ากุยบุรีก็ยังเป็นสีเขียวสดใสและเห็นสัตว์ป่าได้เสมอ
🚗 — ซาฟารีกุยบุรี 88 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ
📆 — เที่ยวได้ทั้งปี เปิด 14:00-18:00 โดยช่วงเย็นสัตว์จะออกมาเยอะกว่า
⏰ — อยู่ได้ตั้งแต่เปิดจนถึงปิด แต่ส่วนใหญ่ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง
💰 — ค่าเหมารถ 900 บาท ค่าเข้าคนละ 40 บาท
4️⃣ บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด
สมัยเด็กๆ ตอนมานั่งเรือยังจำได้ดีว่าดอกบัวสีชมพูที่บานสะพรั่งไปทั้งทุ่งมันสวยขนาดไหน และเพราะเป็นดอกบัวหลวง เมื่อบานเต็มที่จึงสูงกว่าหัวและใหญ่กว่าหน้าคนเสียอีก
แต่ต่อมาดอกบัวก็หายไปหมด ตอนแรกคิดว่าตัวเองไปผิดฤดู แต่สาเหตุจริงๆ คือน้ำบริเวณนี้เค็มขึ้นจากทั้งนากุ้งที่อยู่รอบๆ จากฝายกั้นน้ำและจากน้ำทะเลหนุน ที่พูดว่าบริเวณนี้เพราะจริงๆ บึงบัวหรือทุ่งสามร้อยยอดแห่งนี้ใหญ่มาก ถือเป็นทุ่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในไทยแล้ว ในเมื่อน้ำเค็มไปบัวจึงอยู่ไม่ได้ กกเลยเข้ายึดพื้นที่แทนอยู่เป็นสิบปี
จนไม่กี่ปีให้หลังมานี้เองที่มีข่าวว่าบัวค่อยๆ ฟื้นกลับมา พริมเลยลองกลับมาใหม่อีกครั้ง พบว่ากกหายไปมาก และมีบัวขึ้นอยู่บ้างแต่ยังไม่สูงใหญ่นัก คิดว่าถ้านั่งเรือออกจากฝั่งไปไกลๆ น่าจะมีบางบริเวณที่บัวเยอะ
เมื่อก่อนพริมชอบวนเที่ยวที่อื่นในอุทยานให้เสร็จก่อนแล้วจึงมาบึงบัวในตอนเย็น แต่ครั้งล่าสุดที่ได้ไปตอนเช้า ชอบตอนเช้ามากกว่าเยอะ นอกจากจะสงบ คนน้อย บรรยากาศดี บางทีก็ได้เห็นนกน้ำตัวยักษ์คาบหอยขึ้นมากินบนสะพาน ผืนน้ำตอนเช้าจะนิ่งมากจนสะท้อนภูเขาสารพัดยอดด้านหลังลงมาได้หมด บางมุมชวนให้คิดถึง Yosemite ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ มองออกไปไกลๆ จะเห็นแต่กกขึ้นหนาทึบที่สูงจนเกือบมิดศาลากลางน้ำหลายหลัง
กว่าพระอาทิตย์จะลอยสูงจนพ้นภูเขาขึ้นมาได้ก็ปาไป 8 โมงแล้ว ถ้ามาทันจะได้เห็นแสงแดดค่อยๆ ไล้ไปตามบึงบัวและสะพานไม้ จนในที่สุดก็สว่างทั่วทั้งบริเวณ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วแต่สุดยอดมาก
👉🏼 ขอเตือนว่าใครมาเที่ยวอย่ามัวแต่เดินถ่ายรูปเพลินจนลืมมองทางนะคะ เพราะสะพานเก่าจนผุไปหลายส่วน ถ้ายิ่งเดินไกลออกไป ก็จะยิ่งเห็นสะพานไม้ที่เชื่อมแต่ละศาลาชำรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ เค้ามีเพียงเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยขวางไว้เท่านั้นเอง ส่วนช่วงต้นของสะพานได้รับการปรับปรุงเป็นไม้ใหม่แล้วค่ะ (10/2019)
🚗 — บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด 50 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ
📆 — เที่ยวได้ทั้งปี แนะนำช่วงเช้า 8 โมงที่พระอาทิตย์เริ่มพ้นยอดเขา
⏰ — เดินเล่นได้ตามชอบ 30 นาทีก็กำลังดีถ้าไม่ล่องเรือ
💰 — ไม่มีค่าใช้จ่าย
5️⃣ เขื่อนปราณบุรี หมึกแดด และสับปะรด
เขื่อนปราณบุรีเป็นที่ที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมา แต่ขับจากหัวหินมากินข้าวแถวปากน้ำปราณทีไร จะเห็นป้ายให้แวะเที่ยวเขื่อนปราณบุรีที่อยู่ใกล้ๆ เลยลองแวะดู
เมื่อขับวนขึ้นไปถึงบนสันเขื่อน ก็จะเห็นภาพทะเลสาบขนาดใหญ่สีฟ้าอมเขียวที่ล้อมด้วยแนวเขา มีต้นไม้ขึ้นบนเกาะกลางน้ำด้วย ส่วนตามขอบเขื่อนสีสันของน้ำนี่ไม่ผิดจากชาเขียวใส่นม สีสันแปลกดี ไม่เหม็น
👉🏼 แนะนำให้ไปช่วงเช้า เพราะพระอาทิตย์จะย้ายข้างมาอยู่ตรงข้ามทะเลสาบ แสงแดดที่ส่องจะทำให้เห็นสีของน้ำได้เข้มขึ้น เขียวก็จะสดขึ้น
ทุกครั้งที่มาแถวปราณบุรีบ้าง ระหว่างทางจะเห็นทุ่งสับปะรดเต็มไปหมด เพราะที่นี่เป็นแหล่งปลูกอันดับหนึ่งของประเทศ แล้วถ้ามาถึงปราณ พริมชอบขับต่อไปปากน้ำปราณเพื่อแวะกินหมึกแดดเดียว เพราะรู้สึกหวานนุ่มหนึบ อร่อยแบบแตกต่างจากแหล่งอื่นมาก แม้แต่หัวหินที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังไม่เหมือน
วันแดดดีชาวบ้านจะเอาหมึกมาผึ่งกันแถวนี้ ส่วนริมชายหาดก็เต็มไปด้วยก้อนหินสีเขียวๆ สวยดี ที่นี่หมาทะเลเยอะมาก อากาศแบบนี้ทำให้พวกมันชอบเดินลงไปแช่น้ำทะเล
🚗 — เขื่อนปราณบุรี 30 กิโลเมตร ขับรถ 30 นาทีโดยประมาณ
📆 — เที่ยวได้ทั้งปี ถ้าอยากเห็นสับปะรดโตเต็มที่ก็เดือน 4-6 หรือ 10-12 ค่ะ
⏰ — เดินเล่นได้ตามชอบ
💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ
6️⃣ ป่าชายเลน วนอุทยานปราณบุรี
จริงๆ ก็คล้ายกับป่าชายเลนทั่วไปที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม คือจะมีสะพานไม้ยาวลดเลี้ยวเข้าไปในป่า เวลาเดินเล่นจึงได้อยู่ใต้ร่มเงาของโกงกางไม่ต้องโดนแดดให้ร้อน แต่ที่ทำให้ที่นี่พิเศษคือเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จะเจอหอชะครามให้ขึ้นไปชมวิว
หอสังเกตุการณ์โปร่งๆ นี้น่าจะสูงจากพื้นประมาณตึก 3-4 ชั้น เมื่อขึ้นไปดูจากด้านบนจะเห็นว่ารอบตัวมีแต่พุ่มใบสีเขียวอ่อนของต้นโกงกางขึ้นเบียดกันแน่น บริเวณไหนที่พวกมันเตี้ยหน่อย ก็จะเห็นหัวของคนที่เดินอยู่ตามทางไม้โผล่ขึ้นมา
ใช้เวลาเดินเพียงไม่นาน ทางเดินที่วนเป็นลูปก็จะพาเรากลับออกมาจากป่าชายเลนได้เอง ถ้าร้อนๆก็ข้ามไปชายหาดฝั่งตรงข้าม นั่งรับลมเย็นๆ ก่อนกลับได้ หาดตรงนี้ไม่มีคนเลย
ที่ต้นไม้บางกลุ่มสามารถเติบโตได้ดีในพื้นที่เลนที่น้ำทะเลเค็มๆ ท่วมถึง ในขณะที่ถ้าเป็นต้นไม้อื่นคงตายไปแล้ว เหมือนกับคนที่จะให้ดื่มน้ำทะเลแทนน้ำจืดคงไม่ได้ แต่เพราะต้นไม้ในป่าชายเลนมีต่อมเกลือและขี้ผึ้งช่วยสกัดเกลือไม่ให้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อภายใน แล้วตัวใบก็จะกักเก็บน้ำจืดได้ดีกว่าใบทั่วไปด้วย
🚗 — วนอุทยานปราณบุรี 20 กิโลเมตร ขับรถ 20 นาทีโดยประมาณ
📆 — เที่ยวได้ทั้งปี ตอนเย็นแดดไม่ร้อนเดินสบาย ถ้าอยากนั่งเรือต้องมาก่อนเย็น
⏰ — 1-2 ชั่วโมงโดยประมาณ
💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ
7️⃣ วนอุทยานท้าวโกษา
ชายหาดบริเวณวนอุทยานท้าวโกษาดูแปลกตาต่างกับทางหัวหิน สีของน้ำและทรายจะดูเข้มกว่าอยู่สักหน่อย ช่วงเช้าบรรยากาศดี สงบ แต่ถ้าสุดสัปดาห์มาหลังเที่ยง ชาวบ้านจะมากันเต็มหาด ปูเสื่อกินส้มตำบ้าง ตั้งเตียงผ้าใบนอนใต้ร่มเงาภูเขาก็มี คึกคักเลย
นอกจากจะมีโค้งหาดยาวๆ เดินไปสุดหาดยังมีเขากะโหลกที่ยื่นลงไปในทะเลให้คนที่ชอบปีนป่ายได้พิชิต วิวจากบนยอดน่าจะเห็นไปถึงปากน้ำปราณเลยค่ะ
พริมมากี่ครั้งก็ไม่เคยขึ้นสำเร็จ เสื้อผ้ารองเท้าไม่พร้อมรับมือหินแหลมๆ กระบองเพชรที่ขนาบข้างและฝูงยุงลายซักที
และถ้ามัวแต่หลบกระบองเพชรทางขวา เผลอชิดซ้ายมากไปก็อาจกลิ้งตกเขาแทนได้เพราะไม่มีอะไรกั้น ถึงแบบนั้นหลายคนก็ยังเลือกที่จะขึ้นไปอยู่ดี
สำหรับคนที่ไม่พร้อม แค่ก้าวขึ้นมาบนทางขึ้นก็ได้เห็นโค้งอ่าวนี้จากมุมที่สูงขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ มองผ่านกระบองเพชรออกไปจะเห็นชายฝั่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเข้มๆ ขึ้นทึบ ดูธรรมชาติอยู่มาก ทั้งที่จริงๆ มีบ้านมีรีสอร์ทขึ้นเรียงตลอดชายหาดนะคะ แค่ไม่พ้น