top of page

HUAHIN : 𝟭𝟬 ที่เที่ยววิวสวยรอบหัวหิน

Updated: Feb 12, 2020


นอกจากหัวหินจะมีทะเลที่สวยมากแล้วอย่างที่เคยรวบรวมไว้ใน เปรียบเทียบทะเลหัวหินใน 12 เดือน

รอบๆ หัวหินยังมีที่เที่ยววิวธรรมชาติที่หลากหลาย ทั้งมีภูเขาให้ปีน มีป่าเขียวๆ ให้ส่องสัตว์ มีวาฬในทะเล มีบึง มีนา มีดอกไม้ พริมสะสมที่เที่ยวรอบๆ ไว้เยอะเพราะแวะไปนู่นนี่ทุกครั้งที่ไปหัวหิน แต่ขอคัดแค่ 10 ที่ที่ประทับใจที่สุดเอามาแนะนำในบทความนี้นะคะ บางที่ทุกคนอาจจะเคยไป แต่คิดว่าการไปต่างช่วงเวลากันก็อาจให้ภาพที่แตกต่างได้


บทความนี้น่าจะเหมาะสำหรับคนที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศการไปเที่ยวหัวหินให้หลากหลายขึ้น หรือคนที่กำลังเบื่อเวลาเพื่อนชวนไปเพราะรู้สึกไม่เห็นมีอะไรเที่ยวเลย ต่อจากนี้จะมีแล้วนะคะ หลายสถานที่อยู่นอกหัวหินก็จริง แต่สามารถไปแล้วกลับมานอนหัวหินได้สบายเหมือนเป็น one day trip ตัวพริมเองก็เลือกนอนหัวหินตลอด เพราะตอนกลางคืนคึกคัก มีอาหารให้เลือกหลากหลายดี


  1. เขาแดง สามร้อยยอด

  2. ดูวาฬ ดูตาล และดูนา แหลมผักเบี้ย

  3. ซาฟารีส่องสัตว์ในป่ากุยบุรี

  4. บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด

  5. เขื่อนปราณบุรี หมึกแดด และสับปะรด

  6. ป่าชายเลน วนอุทยานปราณบุรี

  7. วนอุทยานท้าวโกษา

  8. เขาหินเหล็กไฟ

  9. หาดหัวหินที่สวยตลอดปี + InterContinental Huahin

  10. จุดชมวิวที่สวยและสูงที่สุดในหัวหิน + Holiday Inn Vana Nava *** และอย่าลืม คลิกเพื่อลุ้นที่พักฟรีมูลค่า 4500 บาท




 

1️⃣ เขาแดง อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด


เหตุผลที่เลือกเขาแดงขึ้ินมาอันแรก ไม่ใช่เพราะวิวจากบนเขาแดงเอง แต่เพราะชอบวิวน้ำสีแดงๆ ฟ้าๆ ท่ามกลางพื้นดินที่แห้งแตกรอบเขาแดงค่ะ มันอาจมีแร่ธาตุอะไรบางอย่างแบบน้ำที่ฟลามิงโก้ชอบอยู่ก็ได้ พริมเคยขับรถผ่านเส้นนี้หลายครั้งแต่เพิ่งบังเอิญเจอรอบนี้

ครั้งแรกที่มาเขาแดงขึ้นไม่สำเร็จ เพราะเป็นช่วงเย็นในฤดูฝน ยุงลายจึงชุมแบบยากันยุงก็เอาไม่อยู่ ขนาดพอกแขนขาไปมันยังกล้ามาเกาะพร้อมกันเป็นสิบตัว ที่โหดคือสะบัดแขนก็แล้ว วิ่งก็แล้ว แต่ยุงก็ยังเกาะไม่ปล่อย จนต้องรีบหนีขึ้นรถกันหมด

ถึงภูเขาหินสีเทาเข้มที่ตั้งตรงหน้าจะดูสูงชันจนไม่น่าเชื่อว่าจะเดินขึ้นไปได้ แต่ทางเดินจริงๆ ไม่ยาก มีแค่ทางบางช่วงจะงงๆ หน่อยเพราะป้ายบอกทางปักห่างกัน เมื่อเดินถึงจุดที่มีเชือกให้ไต่เกาะนั่นคือเพิ่ง 1/4 ของทางขึ้นนะคะ ช่วงไหนหินก้อนสูงใหญ่เราก็อาศัยจับต้นไม้โหนขึ้นลงช่วยทุ่นแรงได้ ส่วนตอนลงช่วงที่ชัน พริมก็นั่งถัดๆ ลงมาเพราะมันเร็วกว่า ปรากฏกางเกงขาดเป็นรูเท่ากำปั้น 😳 แสดงว่าวิธีนี้ไม่ควรทำ 55

ใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นก็ขึ้นไปถึงด้านบนได้สำเร็จ บนนี้ไม่มีต้นไม้ใดสูงพอจะให้ร่มเงาได้อีกแล้ว ความร้อนอบอ้าวและแดดเที่ยงเลยเล่นเอาตาพร่าจนเกือบเป็นลม สุดท้ายจึงต้องขยับลงมานอนพักใต้ต้นไม้ให้หายดีแล้วขึ้นไปใหม่ ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือกลางฤดูฝนจริงๆ ดินรอบตัวที่พริมนอนอยู่แห้งจนแตก เงยหน้าดูก็เห็นใบไม้ที่แห้งกรอบนิ่งสนิท ไม่มีแม้ลม ถึงว่าตอนเที่ยงไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเลย 😅

จากจุดชมวิวบนยอดเขาแดงนี้ วิวแรกที่เห็นคือทะเลค่ะ เห็นแล้วอาจจะคิดว่าเนี่ยนะที่ถ่อขึ้นมา แต่เมื่อไหร่ที่เดินอ้อมพุ่มไม้ลอดไปด้านหลัง บอกได้เลยว่าจะรู้สึกเกินคุ้มในทันที เพราะวิวที่รออยู่คือเขาหลายร้อยยอด มีทั้งที่อยู่ใกล้และไกล ไล่ต่ำลงมาก็จะเป็นบล็อคนากุ้ง แต่ละหลุมสีฟ้าคนละเฉดสวยดี แล้วล่างสุดเป็นกลุ่มหมู่บ้านชาวประมงที่ดูเล็กจิ๋วไปเลยเมื่อเทียบกับภูเขา


🚗 — เขาแดง 60 กม.จากหัวหิน ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

📆 — เปิด 8.00-15.30 สวยสุดตอนพระอาทิตย์ขึ้นลง อยู่นอกเวลาทำการ แต่ขึ้นได้ถ้าติดต่อล่วงหน้า

⏰ — เดินขึ้นลงเขาไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมง

💰 — ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท ใช้ได้ทุกที่ทั้งวัน ต้องจ่ายที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่อยู่เยื้องไป





 

2️⃣ แหลมผักเบี้ย ดูวาฬ ดูตาล ดูนา


ตอนแรกตั้งใจว่าจะไปดูวาฬบรูด้า (Bryde) ที่สมุทรสงคราม เพราะขับรถเพียงแค่ชั่วโมงครึ่งจากกรุงเทพเท่านั้น แต่มารู้ทีหลังว่าเรือจากที่นี่ต้องเหมาทั้งลำ ถ้าไปขึ้นที่เพชรบุรีสามารถจ่ายเป็นรายหัวได้ ทริปนี้จึงขับรถยาวไปแหลมผักเบี้ยที่เพชรบุรีแทนค่ะ ห่างจากหัวหินแค่เพียงชั่วโมงเดียว สามารถแวะดูวาฬแล้วตรงต่อไปเที่ยวหัวหินได้เลย ระหว่างทางยังได้เที่ยว สวนตาล และทุ่งนาด้วย

บนเรือประมงขนาดกลางที่ทุกวันใช้หาปูม้าแต่วันนี้จะพานักท่องเที่ยวไปดูวาฬ อากาศยามเช้าบนเรือค่อนข้างหนาว ยิ่งเรือแล่นเร็วๆ จนน้ำทะเลสาดขึ้นมาเปียกไปทั้งตัวก็ยิ่งหนาวจนตัวสั่น เมื่อมีเรือลำไหนเจอวาฬก่อน เค้าก็จะส่งสัญญาณตามสายมาบอกพิกัด จึงไม่ยากเลยที่จะได้เห็นบรูด้า เดี๋ยวมุดดำตรงนู้น ไปโผล่ตรงนั้น มีครั้งนึงที่กำลังหาๆ กันอยู่ว่าหายไปไหนแล้ว มันกลับโผล่ขึ้นข้างเรือที่พริมนั่งเลย ตอนนั้นคือตกใจจนหงายหลังจริงๆ 55 ตัวใหญ่กว่าเรืออีก


🚗 — ท่าเรือแหลมผักเบี้ย 60 กิโลเมตรจากหัวหิน  ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

📆 — ปีนึงดูวาฬได้แค่ 4 เดือนสุดท้ายของปี คือกันยายน-ธันวาคม เรือออกแค่ 8 โมงเช้า

⏰ — ปกติใช้เวลาบนเรือ 4-5 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่เจอวาฬก็จะหาไปเรื่อยๆ ตอนพริมไปนี่ 7 ชั่วโมง

💰 — ค่าเรือพร้อมอาหารเช้าเที่ยงคนละ 800 บาท หรือเหมาลำไม่รวมอาหาร 5300 บาท


จากที่ตั้งใจจะถ่ายรูปวาฬมาลงในนี้ให้เป็น 1 ใน 10 ที่เที่ยววิวสวย แต่เสียดายที่วันนั้นอากาศไม่ค่อยแจ่มใส คลื่นลมค่อนข้างแรง เลยไม่มีแม้แต่รูปวาฬอ้าปากกินลูกปลา ข้อนี้เลยขอแถมวิวจากทุ่งนาที่อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือเข้าไปด้วย ขับรถผ่านไปตอนเช้าตรู่แล้วประทับใจมาก ทั้งทุ่งนาเต็มไปด้วยต้นข้าวสีเขียวอ่อนใสดูสดชื่น ท้องฟ้าเป็นสีส้มอ่อนมีหมอกสีทองลอยบางๆ

ตอนแรกคิดอยู่ว่าจะพินจุดมาบอกยังไง เพราะตัวเองก็แวะตามรายทาง จนบังเอิญขับเจอร้านกาแฟริมทุ่งนาเข้าพอดี คือ นาตาชม นาตามี

👉🏼 แนะนำขับรถเที่ยวชมทุ่งนายามเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น แล้วพอ 8 โมงเช้าร้านเปิดค่อยแวะไปค่ะ ไปแต่เช้าจะได้เดินเล่นบนสะพานไม้ที่ตัดผ่านทุ่งนาแบบไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น เงียบสงบดี

  • ถ้าเลือกไปได้ที่เดียว ส่วนตัวจะเลือกนาตาชมค่ะ ถึงเล็กกว่าและไม่ใช่นาโล่งกว้างเพราะมีต้นตาลขึ้นแซม แต่มันดูแล้วเป็นเพชรบุรีดี สถานที่กะทัดรัดแต่จัดสรรได้สวยกว่าด้วย

  • ส่วนนาตามี มีทุ่งนาที่กว้างขวาง มีศาลาให้นั่งปลูกเรียงรายอยู่รอบทุ่งนา แต่ตามคันนาและศาลามีขยะจากลูกค้าเมื่อคืนทิ้งไว้เละเขละไปนิด แสดงว่าที่พริมเห็นตอนเช้าคนโล่งแบบนี้ ตอนเย็นคนต้องแน่นมากแน่

🚗 — นาตาชมและนาตามี  70 กิโลเมตรจากหัวหิน  ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

📆 — เปิด 8:00-18:00 เที่ยวได้ทั้งปี แต่นาข้าวจะเขียวสวยช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน  (หากปีนั้นทำนาปรังต้นปีก็จะเขียวอีกที)

⏰ — อย่างน้อยน่าจะซัก 30 นาที

💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ


เที่ยวนาแล้วอย่าลืมแวะไปเที่ยวสวนตาลกันต่อ ต้นตาลและขนมหวานนี่ของขึ้นชื่อเมืองเพชรเลย พริมเลือกแวะสวนตาลลุงถนอม มีต้นตาลสูงใหญ่ปลูกเป็นแนวทิ้งระยะสวยงาม ลุงที่ปีนต้นตาลอย่างแคล่วคล่องอนุญาตให้ถ่ายรูปแกตอนปีนแถมยังใจดีให้ความรู้ทั้งเรื่องต้นตาลและขนมตาลสีเหลืองฟูด้วย พริมไปตอนเย็นมากแล้วเลยไม่ได้เห็นสาธิตการกรีดตาลและทำน้ำตาลสด แต่ก็ได้ลอมน้ำตาลสดหอมกลิ่นไหม้นิดๆ อร่อยดี


🚗 — สวนตาลลุงถนอม 60 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

📆 — เที่ยวได้ทั้งปี เพราะลูกตาลออกทั้งปี 8:00-18:00 ถ้าไปเช้าวันหยุดจะมีสาธิตวิถีต่างๆ

⏰ — อย่างน้อยน่าจะซัก 30 นาที

💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ





 

3️⃣ ซาฟารีส่องสัตว์ในป่ากุยบุรี


สำหรับการส่องสัตว์ ไม่มีใครรู้ว่าวันที่ไปจะได้เจอสัตว์ป่าจริงมั้ย อย่างเคยไปรอดูกระทิงทางฝั่งเขาใหญ่ทีไรก็ยังไม่เคยเจอ แต่มากุยบุรีทีไร บอกได้เลยว่าเจอสัตว์ใหญ่เยอะทุกครั้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผืนป่ากุยรีค่อนข้างเล็ก สัตว์กินพืชจึงขยายเอาๆ นักท่องเที่ยวอย่างเรามาซาฟารีที่นี่แต่ละทีจึงมีความหวัง

ครั้งล่าสุดพริมไปคนเดียวเลยนั่งรอหาคนหารอยู่ข้างหน้าตั้งแต่บ่าย เพราะเคยมาเย็นแล้วไม่มีคนให้หาร ระหว่างรอเลยคุยกับน้องเจ้าหน้าที่ไปพลางๆ จึงได้รู้ว่าไกด์และคนขับเป็นชาวบ้านในบริเวณนี้ที่เคยเจอปัญหาสัตว์ป่าบุกรุกพื้นที่ไร่สวนมาก่อน แต่เมื่อได้มารวมกลุ่มกันเป็นชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรี เลยเหมือนได้เข้าใจสัตว์ป่ามากขึ้น ได้รายได้จากการพานักท่องเที่ยวเข้าไปด้วย ปัญหาระหว่างสัตว์ป่าและชาวบ้านเลยลดลง น้องเจ้าหน้าบอกด้วยว่าป่านี้มีช้างอยู่ราว 300 ตัว กระทิงประมาณ 250 ตัว วัวแดงที่ชอบรวมฝูงกับกระทิงอีก 7 ตัว เสือก็มีบ้างแต่ชอบข้ามออกไปหากินฝั่งพม่า ส่วนช้างกระทิงไม่ย้ายไปไหนเพราะอาหารการกินยังอุดมสมบูรณ์ดีอยู่ พริมลองถามว่าช้างลดลงมั้ย เพราะชอบได้ยินข่าวเรื่องสัตว์ป่าเหลือน้อยบ่อยๆ แต่กลายเป็นว่าช้างป่าในกุยบุรีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยซ้ำ ในอีกไม่ถึงสิบปีอาจเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว ปัญหาใหญ่สุดตอนนี้เลยเป็นเรื่องเลือดชิดค่ะ นี่ก็ไม่คิดเลยว่าเย็นวันนั้นเมื่อเข้าป่าไปก็จะได้เห็นผลพวงนี้กับตา

ในที่สุดก็ได้คนหาร โดยรถที่จะพาเข้าไปเป็นรถกระบะที่มีไม้พาดให้นั่ง และมีไกด์ท้องถิ่นอีกคน เราจะเข้าป่าไปยาวๆ จนถึง 5-6 โมงที่เค้าปิดก็ได้ หรือจะดูชั่วโมงเดียวแล้วกลับเลยก็แล้วแต่เรา

แต่ถ้าระหว่างทางเจอสัตว์ก็บอกให้คนขับช่วยหยุดได้ เมื่อเข้ามาได้สักพัก ก็ได้เจอช้างหนุ่มตัวใหญ่ออกมาเดินอยู่ริมทางรถพอดี รถจึงได้แต่เคลื่อนตามช้างไปแบบช้าๆ

จนเมื่อมาถึงจุดชมวิวหลัก ก็ได้เจอทั้งกระทิงฝูงใหญ่กว่า 50-60 ตัวพร้อมลูกเล็กและวัวแดงออกมากินหญ้ากันพอดี ระหว่างทางยังได้เจอกระทิงโทน เก้ง รวมถึงจิ้งจอกทองระหว่างทางด้วย

ที่แปลกสุดคือเจอลูกช้างเดินอยู่กลางป่าตัวเดียวทั้งที่ปกติช้างเด็กแบบนี้จะอยู่รวมฝูง พ่อแม่ไม่มีทางทิ้งให้เผชิญโลกตามลำพังเด็ดขาด แต่เห็นหลังมันดูคดๆ จึงเป็นไปได้ว่าคงป่วยหรือพิการเลยเดินตามฝูงไม่ทัน ทำให้ถูกปล่อยหลงอยู่ตัวเดียว สงสาร ฟังแล้วคำว่าโอฮาน่าของสติทช์ในแอนิเมชั่นเรื่องโปรด Lilo & Stitch ลอยเข้าหัวเลยค่ะ

Ohana means family. 🌺 Family means nobody gets left behind or forgotten.

แต่นี่แหละคือผลพวงของเลือดชิด เพราะป่ากุยบุรีมีขนาดเล็ก แถมยังถูก เมือง หมู่บ้าน และถนนตัดกั้นไปหมดแล้ว ไม่ได้ใหญ่โตเชื่อมกับป่าอื่นๆ มากมายอย่างทางทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง หรือเขาใหญ่-ดงพญาเย็น ช้างกุยบุรึจึงได้แต่ผสมพันธุ์วนกันเองอยู่ในนี้ด้วยสายเลือดที่ใกล้ชิด (inbreeding) จึงมีโอกาสสูงให้ยีนส์เด่นแสดงอาการผิดปกติออกมาได้ง่าย ป่วยง่าย ไม่แข็งแรง เมื่อโตมาช้างกุยบุรีก็จะดูตัวเล็กและไม่ถึกทนเท่าช้างทางป่าใหญ่ ซึ่งปัญหานี้ต่อไปคงจะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แค่บ่ายวันนี้วันเดียวยังเจอลูกช้างไม่แข็งแรงถูกครอบครัวทิ้งไว้ข้างหลังถึงสองตัว

พริมมาที่นี่ 3-4 ครั้งแล้วก็ยังประทับใจและยังอยากกลับมาอีก ได้เจอสัตว์หลายตัวและได้ความรู้ใหม่ๆ จากสมาชิกบนรถด้วย ไม่ว่าจะมาหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว ป่ากุยบุรีก็ยังเป็นสีเขียวสดใสและเห็นสัตว์ป่าได้เสมอ


🚗 — ซาฟารีกุยบุรี 88 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ

📆 — เที่ยวได้ทั้งปี เปิด 14:00-18:00 โดยช่วงเย็นสัตว์จะออกมาเยอะกว่า

⏰ — อยู่ได้ตั้งแต่เปิดจนถึงปิด แต่ส่วนใหญ่ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

💰 — ค่าเหมารถ 900 บาท ค่าเข้าคนละ 40 บาท





 

4️⃣ บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด


สมัยเด็กๆ ตอนมานั่งเรือยังจำได้ดีว่าดอกบัวสีชมพูที่บานสะพรั่งไปทั้งทุ่งมันสวยขนาดไหน และเพราะเป็นดอกบัวหลวง เมื่อบานเต็มที่จึงสูงกว่าหัวและใหญ่กว่าหน้าคนเสียอีก

บึงบัวอยู่ข้างหลังภูเขาลูกนี้

แต่ต่อมาดอกบัวก็หายไปหมด ตอนแรกคิดว่าตัวเองไปผิดฤดู แต่สาเหตุจริงๆ คือน้ำบริเวณนี้เค็มขึ้นจากทั้งนากุ้งที่อยู่รอบๆ จากฝายกั้นน้ำและจากน้ำทะเลหนุน ที่พูดว่าบริเวณนี้เพราะจริงๆ บึงบัวหรือทุ่งสามร้อยยอดแห่งนี้ใหญ่มาก ถือเป็นทุ่งน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในไทยแล้ว ในเมื่อน้ำเค็มไปบัวจึงอยู่ไม่ได้ กกเลยเข้ายึดพื้นที่แทนอยู่เป็นสิบปี

จนไม่กี่ปีให้หลังมานี้เองที่มีข่าวว่าบัวค่อยๆ ฟื้นกลับมา พริมเลยลองกลับมาใหม่อีกครั้ง พบว่ากกหายไปมาก และมีบัวขึ้นอยู่บ้างแต่ยังไม่สูงใหญ่นัก คิดว่าถ้านั่งเรือออกจากฝั่งไปไกลๆ น่าจะมีบางบริเวณที่บัวเยอะ

เมื่อก่อนพริมชอบวนเที่ยวที่อื่นในอุทยานให้เสร็จก่อนแล้วจึงมาบึงบัวในตอนเย็น แต่ครั้งล่าสุดที่ได้ไปตอนเช้า ชอบตอนเช้ามากกว่าเยอะ นอกจากจะสงบ คนน้อย บรรยากาศดี บางทีก็ได้เห็นนกน้ำตัวยักษ์คาบหอยขึ้นมากินบนสะพาน ผืนน้ำตอนเช้าจะนิ่งมากจนสะท้อนภูเขาสารพัดยอดด้านหลังลงมาได้หมด บางมุมชวนให้คิดถึง Yosemite ขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ มองออกไปไกลๆ จะเห็นแต่กกขึ้นหนาทึบที่สูงจนเกือบมิดศาลากลางน้ำหลายหลัง

กว่าพระอาทิตย์จะลอยสูงจนพ้นภูเขาขึ้นมาได้ก็ปาไป 8 โมงแล้ว ถ้ามาทันจะได้เห็นแสงแดดค่อยๆ ไล้ไปตามบึงบัวและสะพานไม้ จนในที่สุดก็สว่างทั่วทั้งบริเวณ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วแต่สุดยอดมาก

👉🏼 ขอเตือนว่าใครมาเที่ยวอย่ามัวแต่เดินถ่ายรูปเพลินจนลืมมองทางนะคะ เพราะสะพานเก่าจนผุไปหลายส่วน ถ้ายิ่งเดินไกลออกไป ก็จะยิ่งเห็นสะพานไม้ที่เชื่อมแต่ละศาลาชำรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ เค้ามีเพียงเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยขวางไว้เท่านั้นเอง ส่วนช่วงต้นของสะพานได้รับการปรับปรุงเป็นไม้ใหม่แล้วค่ะ (10/2019)


🚗 — บึงบัว ทุ่งสามร้อยยอด 50 กิโลเมตร ขับรถ 1 ชั่วโมงโดยประมาณ

📆 — เที่ยวได้ทั้งปี แนะนำช่วงเช้า 8 โมงที่พระอาทิตย์เริ่มพ้นยอดเขา

⏰ — เดินเล่นได้ตามชอบ 30 นาทีก็กำลังดีถ้าไม่ล่องเรือ

💰 — ไม่มีค่าใช้จ่าย





 

5️⃣ เขื่อนปราณบุรี หมึกแดด และสับปะรด


เขื่อนปราณบุรีเป็นที่ที่ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะมา แต่ขับจากหัวหินมากินข้าวแถวปากน้ำปราณทีไร จะเห็นป้ายให้แวะเที่ยวเขื่อนปราณบุรีที่อยู่ใกล้ๆ เลยลองแวะดู

เมื่อขับวนขึ้นไปถึงบนสันเขื่อน ก็จะเห็นภาพทะเลสาบขนาดใหญ่สีฟ้าอมเขียวที่ล้อมด้วยแนวเขา มีต้นไม้ขึ้นบนเกาะกลางน้ำด้วย ส่วนตามขอบเขื่อนสีสันของน้ำนี่ไม่ผิดจากชาเขียวใส่นม สีสันแปลกดี ไม่เหม็น

👉🏼 แนะนำให้ไปช่วงเช้า เพราะพระอาทิตย์จะย้ายข้างมาอยู่ตรงข้ามทะเลสาบ แสงแดดที่ส่องจะทำให้เห็นสีของน้ำได้เข้มขึ้น เขียวก็จะสดขึ้น

ทุกครั้งที่มาแถวปราณบุรีบ้าง ระหว่างทางจะเห็นทุ่งสับปะรดเต็มไปหมด เพราะที่นี่เป็นแหล่งปลูกอันดับหนึ่งของประเทศ แล้วถ้ามาถึงปราณ พริมชอบขับต่อไปปากน้ำปราณเพื่อแวะกินหมึกแดดเดียว เพราะรู้สึกหวานนุ่มหนึบ อร่อยแบบแตกต่างจากแหล่งอื่นมาก แม้แต่หัวหินที่อยู่ใกล้ๆ ก็ยังไม่เหมือน

วันแดดดีชาวบ้านจะเอาหมึกมาผึ่งกันแถวนี้ ส่วนริมชายหาดก็เต็มไปด้วยก้อนหินสีเขียวๆ สวยดี ที่นี่หมาทะเลเยอะมาก อากาศแบบนี้ทำให้พวกมันชอบเดินลงไปแช่น้ำทะเล


🚗 — เขื่อนปราณบุรี 30 กิโลเมตร ขับรถ 30 นาทีโดยประมาณ

📆 — เที่ยวได้ทั้งปี ถ้าอยากเห็นสับปะรดโตเต็มที่ก็เดือน 4-6 หรือ 10-12 ค่ะ

⏰ — เดินเล่นได้ตามชอบ

💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ






 

6️⃣ ป่าชายเลน วนอุทยานปราณบุรี


จริงๆ ก็คล้ายกับป่าชายเลนทั่วไปที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม คือจะมีสะพานไม้ยาวลดเลี้ยวเข้าไปในป่า เวลาเดินเล่นจึงได้อยู่ใต้ร่มเงาของโกงกางไม่ต้องโดนแดดให้ร้อน แต่ที่ทำให้ที่นี่พิเศษคือเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จะเจอหอชะครามให้ขึ้นไปชมวิว

หอสังเกตุการณ์โปร่งๆ นี้น่าจะสูงจากพื้นประมาณตึก 3-4 ชั้น เมื่อขึ้นไปดูจากด้านบนจะเห็นว่ารอบตัวมีแต่พุ่มใบสีเขียวอ่อนของต้นโกงกางขึ้นเบียดกันแน่น บริเวณไหนที่พวกมันเตี้ยหน่อย ก็จะเห็นหัวของคนที่เดินอยู่ตามทางไม้โผล่ขึ้นมา

ใช้เวลาเดินเพียงไม่นาน ทางเดินที่วนเป็นลูปก็จะพาเรากลับออกมาจากป่าชายเลนได้เอง ถ้าร้อนๆก็ข้ามไปชายหาดฝั่งตรงข้าม นั่งรับลมเย็นๆ ก่อนกลับได้ หาดตรงนี้ไม่มีคนเลย

ที่ต้นไม้บางกลุ่มสามารถเติบโตได้ดีในพื้นที่เลนที่น้ำทะเลเค็มๆ ท่วมถึง ในขณะที่ถ้าเป็นต้นไม้อื่นคงตายไปแล้ว เหมือนกับคนที่จะให้ดื่มน้ำทะเลแทนน้ำจืดคงไม่ได้ แต่เพราะต้นไม้ในป่าชายเลนมีต่อมเกลือและขี้ผึ้งช่วยสกัดเกลือไม่ให้เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อภายใน แล้วตัวใบก็จะกักเก็บน้ำจืดได้ดีกว่าใบทั่วไปด้วย


🚗 — วนอุทยานปราณบุรี 20 กิโลเมตร ขับรถ 20 นาทีโดยประมาณ

📆 — เที่ยวได้ทั้งปี ตอนเย็นแดดไม่ร้อนเดินสบาย ถ้าอยากนั่งเรือต้องมาก่อนเย็น

⏰ — 1-2 ชั่วโมงโดยประมาณ

💰 — ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษ





 

7️⃣ วนอุทยานท้าวโกษา


ชายหาดบริเวณวนอุทยานท้าวโกษาดูแปลกตาต่างกับทางหัวหิน สีของน้ำและทรายจะดูเข้มกว่าอยู่สักหน่อย ช่วงเช้าบรรยากาศดี สงบ แต่ถ้าสุดสัปดาห์มาหลังเที่ยง ชาวบ้านจะมากันเต็มหาด ปูเสื่อกินส้มตำบ้าง ตั้งเตียงผ้าใบนอนใต้ร่มเงาภูเขาก็มี คึกคักเลย

นอกจากจะมีโค้งหาดยาวๆ เดินไปสุดหาดยังมีเขากะโหลกที่ยื่นลงไปในทะเลให้คนที่ชอบปีนป่ายได้พิชิต วิวจากบนยอดน่าจะเห็นไปถึงปากน้ำปราณเลยค่ะ

พริมมากี่ครั้งก็ไม่เคยขึ้นสำเร็จ เสื้อผ้ารองเท้าไม่พร้อมรับมือหินแหลมๆ กระบองเพชรที่ขนาบข้างและฝูงยุงลายซักที

และถ้ามัวแต่หลบกระบองเพชรทางขวา เผลอชิดซ้ายมากไปก็อาจกลิ้งตกเขาแทนได้เพราะไม่มีอะไรกั้น ถึงแบบนั้นหลายคนก็ยังเลือกที่จะขึ้นไปอยู่ดี

สำหรับคนที่ไม่พร้อม แค่ก้าวขึ้นมาบนทางขึ้นก็ได้เห็นโค้งอ่าวนี้จากมุมที่สูงขึ้นมาหน่อยแล้วค่ะ มองผ่านกระบองเพชรออกไปจะเห็นชายฝั่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเข้มๆ ขึ้นทึบ ดูธรรมชาติอยู่มาก ทั้งที่จริงๆ มีบ้านมีรีสอร์ทขึ้นเรียงตลอดชายหาดนะคะ แค่ไม่พ้น