ตั้งแคมป์ในอาณาจักรสัตว์กับซาฟารีที่ดีที่สุดในชีวิต
ตลอดระยะเวลาเกือบเดือนในแอฟริกา พริมมีโอกาสซาฟารีหลายครั้ง แต่ครั้งที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจที่สุด ชวนให้คิดถึงที่สุด คงจะมีแต่บอตสวานา นอกจากได้เห็นสีสันของภูมิประเทศที่หลากหลาย ยังได้วิ่งหนีช้าง วิ่งตามยีราฟ พายเรือไปดูฮิปโป นอนกลางดิน กินและปล่อยกลางทรายคล้ายๆกับสัตว์ป่าที่เจอ จนเผลอคิดไปว่าเราก็เป็นแค่สัตว์ตัวนึงจริงๆ
ภาษาหลักของบอตสวานาคือภาษาอังกฤษ เลยสบายนักท่องเที่ยวดี เวลาคุยกับคนที่นี่ว่าอยากไปส่องสัตว์ เค้าจะเรียกกันว่าเป็นเกม แต่คนไทยจะติดเรียกซาฟารีมากกว่า พาหนะที่ใช้จะเป็นอะไรก็ได้ ถ้ารถก็เรียกเกมไดรฟ์ ตอนอยู่ซิมบับเวพริมลองทั้งขี่ม้า นั่งเฮลิคอปเตอร์ และนั่งเรือมาแล้ว แต่สำหรับบอตสวานานี้ พื้นที่อุทยานจะใหญ่ขึ้น สัตว์ก็หลากหลายขึ้น เราเลยจะไปทั้งรถ เรือ เครื่องบินเล็ก และที่สนุกคือได้เดินเท้าเข้าป่า ในบอตสวานานี้เที่ยวจริงๆอยู่แค่ 2-3 อุทยาน แต่ใช้เวลากับการเดินทางและการตามหาสัตว์มากหน่อย เลยหมดไปถึง 7 วัน
Chobe National Park : Overland Safari ซาฟารีทางรถในถิ่นช้าง
Chobe National Park : River Safari ซาฟารีทางเรือในถิ่นช้าง
Okavango Delta : Scenic Flight Safari ซาฟารีด้วยเครื่องบิน ส่องสัตว์จากบนฟ้า
Okavango Delta : Mokoro Canoe Safari ซาฟารีทางเรือแคนู
Okavango Delta : Hippo pool พายเรือไปดูฮิปโปในบึง
Okavango Delta : Camping life ตั้งค่ายกลางป่า กินอยู่ใกล้ชิดสัตว์
Okavango Delta : Moremi game reserve ซาฟารีด้วยการเดินเท้าไปดูสัตว์
วันนี้เป็นวันแรกที่จะได้นั่งรถบรรทุก ออกมาจากซิมบับเวไม่นานก็เข้าเขตบอตสวานา ซึ่งประเทศนี้พริมได้ส่งเอกสารไปขอวีซ่าล่วงหน้าที่ญี่ปุ่นมาแล้วค่ะ ต้องโทรไปตามเรื่อยๆ กว่าเค้าจะเริ่มดำเนินการและส่งเอกสารวีซ่ามาให้ก็หมดไปเกือบเดือน ทุกคนที่ขึ้นรถบรรทุกมาด้วยกันส่วนใหญ่มาจากประเทศที่ไม่ต้องใช้วีซ่า ทั้งอเมริกา แคนาดา ยุโรป บราซิล ออสเตรเลีย สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ แต่ละคนเลยผ่านด่านไปได้อย่างรวดเร็ว ติดอยู่ที่พริมคนเดียวที่เจ้าหน้าที่เอาเอกสารวีซ่าไปจัดการต่ออีกนานมาก นึกว่าจะไม่ได้ผ่านเข้าประเทศซะแล้ว
รูปทั้งหมดในอัลบั้มนี้ถ่ายด้วยกล้อง olympus omd em10 mark3 มิลเรอร์เลสตัวเล็กๆที่ใช้สนุก ยิ่งพอติดเลนส์เทเลโอลิมปัส m.zuiko 40-200mm f2.8 pro เข้าไปก็ยิ่งสนุกใหญ่ ละลายทุ่งสะวันนาได้ถูกใจมาก
Chobe National Park : Overland Safari
ว่ากันว่าที่อุทยานแห่งชาติโชบี้ Chobe มีช้างแอฟริกันอยู่รวมกันหนาแน่นที่สุดในโลกแล้ว จุดเด่นของที่นี่เลยเป็นช้างนั่นเอง สมาชิกในรถถามคนขับเพิ่มว่าจะได้เห็นเสือดาวมั้ย คนขับบอกไม่เห็นหรอก สิงโตล่ะ เค้าก็บอกไม่น่า แรดล่ะ อันนี้ไม่มีแน่นอน กลางวันแบบนี้มันร้อนเกินไป ที่โชบี้มีต้นไม้ให้พวกมันหลบซ่อนเยอะ ความตื่นเต้นของทุกคนที่มีต่อการไปซาฟารีเลยลดลงเกือบครึ่ง
ภายในอุทยานเต็มไปด้วยต้นไม้และพุ่มไม้ พวกสัตว์คงพรางตัวกันสบายถึงหาไม่ค่อยเจอ แต่ขอเว้นยีราฟไว้หน่อย คอพวกมันสูงพ้นยอดไม้อีก เห็นแต่ไกลเลย รถแล่นโคลงๆเคลงๆจนมาถึงริมแม่น้ำซึ่งเป็นพื้นที่โล่ง เจ้าพวกสัตว์มากองกันอยู่ตรงนี้นี่เอง ช้างหลายสิบตัวเดินเล่นไปมา ควายน้ำและฝูงแอนทีโลพก็หากินอยู่บริเวณนี้
มีคนตาดีเห็นฝูงสิงโตนอนหลบแดดใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากแหล่งน้ำด้วย ดูเป็นทำเลที่ดีในการซุ่มดูเหยื่อ สิงโตถ่ายค่อนข้างยากเพราะต้องซูมผ่านเงาไม้เข้าไป แล้วยังต้องหาช่องว่างระหว่างสมาชิกในรถอีก ขับรถวนไปมาแป๊บเดียวก็ต้องรีบไปนั่งเรือต่อแล้ว หวังว่าทางน้ำตอนเย็นๆจะดีกว่าบนบกตอนบ่าย เพราะยังส่องสัตว์กันไม่จุใจเลย
Chobe National Park : River Safari
มองไปทางไหนก็มีแต่ช้าง ทั้งบนบกและในน้ำ กระจัดกระจายปนไปกับฝูงเรือท่องเที่ยว ดูไปก็ไม่อยากเชื่อว่านี่คือธรรมชาติจริงๆ บรรยากาศมันสวยลงตัวเหมือนอยู่ในธีมปาร์คมากกว่า แถมมีเรือนักท่องเที่ยวไหลต่อกันมาเป็นสายยิ่งใช่ใหญ่
บางตัวกำลังสู้กันฟาดงวงทีน้ำกระจาย บางตัวพาลูกไปเล่นโคลน บางตัวก็กำลังใช้งวงเกี่ยวพืชน้ำแถวนั้นขึ้นมาสะบัดๆให้โคลนหลุดออกไปมากที่สุดก่อนกิน เนื่องจากระบบย่อยอาหารของช้างไม่ค่อยดี มันเลยเรียนรู้ที่จะทำความสะอาดอาหารของตัวเอง
จะเห็นว่าช้างแอฟริกาไม่เหมือนช้างไทย พริมมีโอกาสเห็นช้างป่าที่ไทยอยู่ 2-3 ครั้งตอนไปเขาใหญ่และกุยบุรี เห็นชัดเลยว่าช้างแอฟริกันขายาวกว่ามาก นั่นเพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้าที่ราบ ช้างเดินได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องออกแรงเดินขึ้นลงเขาแบบบ้านเรา หูช้างแอฟริกันก็ใหญ่กว่า เคยมีคนบอกว่าหูช้างแอฟริกันก็เหมือนแผนที่ทวีปแอฟริกา ส่วนหูช้างเอเชียเหมือนแผนที่ประเทศอินเดีย สาเหตุจริงๆเพราะภูมิประเทศอีกเช่นเคย การมีชีวิตอยู่ในทุ่งสะวันนาต้องเจอแดดร้อนๆทั้งวัน ไม่มีป่าไม้ให้หลบร้อนแบบช้างไทย ช้างแอฟริกันเลยต้องมีหูที่ใหญ่เพื่อช่วยคลายความร้อน เวลาเราเห็นมันสะบัดหู 2 ที ก็ช่วยให้อุณหภูมิในตัวมันลดลงถึง 2 องศาแล้ว ช้างที่นี่ดูเหี่ยวกว่าด้วย รอยยับเต็มตัว อันนี้เดาเองว่าอาจเพราะสภาพอากาศที่แห้ง ไม่ชุ่มชื้นเหมือนช้างในป่าฝน
นอกจากช้าง ยังมีพวกแอนทีโลพและควายป่า มีฮิปโปผลุบโผล่อยู่กลางน้ำ จระเข้นอนอ้าปากริมตลิ่ง และตัววอเท่อบัค waterbuck ที่หันก้นตลกๆมาให้ดูพร้อมกันทั้งฝูง
อากาศเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อท้องฟ้าเริ่มเป็นสีชมพู สัตว์หลายตัวยังก้มหน้าสนุกกับการกิน ไม่มีตัวไหนสนใจสีสันของท้องฟ้าที่ค่อยๆเปลี่ยนไป
Okavango Delta : Scenic flight
โอคาวังโก เดลต้า ไม่เคยอยู่ในหัวมาก่อนเลย ไม่รู้พื้นที่ชุ่มน้ำขนาดยักษ์แห่งนี้ลอดพ้นจากการเสิร์ชกูเกิ้ลก่อนเดินทางไปได้อย่างไร แต่จากการซาฟารีมา 4 อุทยานใน 3 ประเทศ พูดได้เต็มปากเลยว่าที่นี่ทำให้อิ่มใจสุด การได้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกยืนยันได้ว่าที่นี่ไม่ธรรมดา พื้นที่ทั้งหมดของมันใหญ่ประมาณ 10 เท่าของเขาใหญ่ ใหญ่กว่าจังหวัดที่ใหญ่สุดในประเทศไทยอย่างโคราชซะอีก และด้วยความที่ โอคาวังโก เดลต้า เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ การไปค้างคืนให้ถึงใจกลางจึงมีแค่ 2 ทางเลือก
นั่งเครื่องบินเล็กจากในเมืองไปลงที่ที่พักสุดหรู
นั่งเรือแคนูเข้าไปกว่า 2 ชั่วโมงเพื่อตั้งแคมป์กลางป่ากับชาวบ้าน
ทีมประหยัดเลือกอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงการบินไปกลับใจกลางโอคาวังโก้จะราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าขึ้นบิน 1 ชั่วโมงเพื่อดูวิวเฉยๆ จะถูกกว่ามาก
ทีมประหยัดเลือกอย่างหลังอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงการบินไปกลับใจกลางโอคาวังโก้จะราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าขึ้นบิน 1 ชั่วโมงเพื่อดูวิวเฉยๆ จะถูกกว่ามาก
อีกแล้วที่ครั้งแรกในชีวิตจะเกิดขึ้นที่แอฟริกา คราวนี้เป็นการขึ้น light aircraft เครื่องบินเล็กขนาด 3-5 ที่นั่งเพื่อไปส่องสัตว์จากบนฟ้า เราต้องไปขึ้นเครื่องที่สนามบินนานาชาติในตัวเมืองโมน Maun ต้องสแกนทั้งตัวและกระเป๋ารวมทั้งตรวจพาสปอร์ตเหมือนจะบินออกนอกประเทศไม่มีผิด
เครื่องบินเล็กจอดอยู่เต็มลาน เคยเห็นลำนี้ในรูปมานานเพิ่งจะได้ลองของจริง ทุกที่นั่งมีหน้าต่างเป็นของตัวเอง ภายในไม่มีแอร์ มีแต่ช่องให้อากาศภายนอกไหลเข้ามาตามแต่จะปรับ ช่วงแรกๆทุกคนนั่งกันคอยืดยาว หันซ้ายขวาถ่ายรูปดูวิวไม่มีหยุด
วิวข้างล่างคล้ายพื้นผิวดาวซักดวงเมื่อมองจากนอกโลก น้ำเงิน ฟ้า เขียว เหลือง ส้ม
ถ้ามองให้ละเอียดกว่านั้นก็จะเจอสัตว์มากมาย ทั้งช้าง ยีราฟ ฮิปโป ควายน้ำ และ ฝูงม้าลายลุยน้ำ
เพราะแดดส่องเข้าหน้า ภายในที่ร้อนอบอ้าว และเครื่องบินที่ขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะตลอดเวลา ทำให้ทุกคนเปลี่ยนมานั่งนิ่งๆในเวลาไม่นาน แต่ละคนเริ่มเล็งถุงกระดาษหน้าที่นั่งแทนสัตว์ข้างล่าง อยากลงจอดมากเลย หนึ่งชั่วโมงที่สวยงามทำไมยาวนานนักไม่รู้
Okavango Delta : Mokoro canoe
พริมแพคเป้ใบเล็กเตรียมไปตั้งแคมป์ในป่า 3 วัน 2 คืน ชาวบ้านที่จะมาเป็นไกด์ไม่ได้บอกอะไรมาก จึงเตรียมไปหมดทั้งหมอน ถุงนอน ผ้าเช็ดตัว ไดร์เป่าผม และเสื้อผ้า สมาชิกที่ไม่ยอมนอนเตนท์จะแยกไปขึ้นเครื่องบิน บินตรงไปพักที่ลอดจ์หรูๆกลางป่า แต่พวกชาวเตนท์จะต้องนั่งเรือเข้าไปอีก 2 ชั่วโมงเพื่อเลือกจุดกางเตนท์
เรือที่ว่าคือเรือ โมโคโร mokoro หน้าตาคล้ายเรือแคนู สมัยก่อนเรือนี้ทำมาจากไม้โมโคโรทั้งต้น คว้านเจาะจนเป็นรูปเรือ แต่ได้ยินว่าเดี๋ยวนี้รัฐบาลไม่ยอมให้ชาวบ้านตัดไม้มาทำเรือแล้ว เพราะต้นไม้ชนิดนั้นแทบไม่มีเหลือ เรือที่พริมได้นั่งในวันนี้จึงเป็นไฟเบอร์กลาสทั้งลำ เรือโมโคโรจะแบนๆ ไม่มีการยกที่นั่งขึ้นมา พอนั่งลงไปก็จะได้ระดับเดียวกับผิวน้ำเลย เรือลำนึงนั่งได้เต็มที่จริงๆ 3 คน โดยมีคนถ่อเรือยืนถ่ออยู่ท้ายลำ คอยเตือนให้พวกเรานั่งทรงตัวดีๆ ถ้าเอี้ยวตัวเกิน 60 องศา เรืออาจจะคว่ำเอาได้ เลยต้องนั่งชมวิวแบบนิ่งๆตากแดดเที่ยงมาตลอดทาง ผ่านทั้งกอหญ้า กอกก และกอบัวสีชมพูที่กำลังบาน ฝูงวัวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้แถวนั้นเดินลุยน้ำลงมาทักทายด้วย และเพราะนั่งอยู่ติดพื้นน้ำ วัวที่เดินเข้ามาจึงดูสูงใหญ่จนต้องแหงนหน้าดูวัว
น้ำรอบตัวเป็นสีสนิม แต่พอวักขึ้นมาดูถึงเห็นเป็นสีเหลืองเข้มแต่ใส คนถ่อเรือที่พ่วงตำแหน่งไกด์ยืนยันว่าน้ำสะอาดมากนะ แล้วก็ใช้แก้วน้ำตักน้ำขึ้นมาดื่มโชว์เพื่อยืนยันเดี๋ยวนั้นเลย เราแวะทานกลางวันกันที่เกาะกลางน้ำ พอจัดการยัดแฮมเบอเกอร์ที่ราดด้วยน้ำจิ้มไก่ไทย คีชผักโขม และแอปเปิ้ลอีกลูกลงท้องเสร็จ ก็เดินทางต่อ ระหว่างทางเจอช้างบ้าง ม้าลายบ้าง 2 ชั่วโมงจึงล่วงไปอย่างรวดเร็ว ถึงจุดตั้งแคมป์ริมน้ำกันซักที
ตอนแรกนึกว่าชาวบ้านที่จะมานำทางให้เราตลอด 3 วัน 2 คืนจะมีแต่ผู้ชายที่มาถ่อเรือ ปรากฏว่าอีกหลายสิบชีวิต โดยเฉพาะพวกผู้หญิงได้ทำอาหารและกางเตนท์รออยู่ที่จุดตั้งแคมป์กันหมดแล้ว เป็นเตนท์ใหญ่ขึ้นอีกนิด มีหมอนผ้าห่มให้พร้อม แต่ไม่มีน้ำไฟ ดังนั้นสารพัดสิ่งที่พริมแบกมาด้วยคือไร้ประโยชน์ วันแรกที่มาถึงไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษ สาวสิงค์โปร์นามว่า ไวไว YY เลยชวนพริมออกไปพายเรือเล่น เธอก็มาเที่ยวแอฟริกาคนเดียวเหมือนกัน บังเอิญเจอกันตั้งแต่ที่สนามบินซิมบับเวนั่นเลย
พวกเราไปขอทีมเรือว่าอยากเอาเรือออกคนละลำ พอเอาเรือออกได้ก็นึกว่าจะง่ายเหมือนพายเรือปกติ แต่ผิดคาด เนื่องจากไม้ถ่อยาวกว่า 5 เมตร เราไม่สามารถสลับฝั่งถ่อซ้ายขวาได้เหมือนการพายปกติ มันยากในการจ้วงไม้ลงน้ำแค่ฝั่งเดียว แต่ต้องบังคับทิศทางขวาซ้ายให้ได้หมด พริมออกไปลำแรก ได้ยินเสียงไวไวตะโกนมาว่าไปสำรวจทางขวากันเถอะ จึงพยายามถ่อขวามาเรื่อยๆ เรือเราแล่นฝ่าดงกกที่หนาทึบจนกกทุกต้นใต้ท้องเรือลู่ไปกับผิวน้ำ มองย้อนกลับไป เจ้าไวไวไหงไปทางซ้ายซะได้ พริมตะโกนถามเค้าว่าทำไมไม่มาขวา เค้าบอกอยากไปขวา แต่บังคับเรือหันขวาไม่ได้จริงๆ
วันนี้เลยแยกทางใครทางมันละกัน
บางช่วงน้ำตื้นแค่น่อง แต่บางช่วงก็ลึกหลายเมตร พริมกะดูจากไม้ถ่อที่จมน้ำลงไปจนเหลือแค่ปลาย ถ่อไปถ่อมา เรือหมุนคว้างเหมือนติดในวังน้ำวน ไม่เป็นไร มีเวลาตั้งหลายวัน
บ่ายวันที่สองจึงเอาใหม่ พริมและไวไววิ่งไปขึ้นเรือด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน พริมอยากกินอะไรเย็นๆ ส่วนไวไวอยากไปโดดน้ำเล่นให้ตัวเปียก จะได้เป็นการอาบน้ำไปในตัว พวกเราหลบออกไปในขณะที่นักท่องเที่ยวคนอื่นๆกำลังรอคิวอาบน้ำกันอยู่ ที่แคมป์นี้ไม่มีน้ำไฟ ห้องน้ำจึงเป็นแค่กระโจมโล่งๆที่ภายในขุดหลุมลึกไว้ มีพลั่ววางข้างๆ ธุระเสร็จก็ต้องตักทรายกลบ ในขณะที่กระโจมห้องอาบน้ำมีแค่แผ่นไม้วางไว้ให้ยืน ถ้าจะอาบน้ำก็ต้องใช้เด็กพายเรือไปตักน้ำใสๆกลางบึงกลับมา แล้วเทเก็บไว้ในกระบุงเหนือกระโจม ถึงเวลาอาบก็กระตุกเชือกให้น้ำราดลงมา นอกจากจะต้องต่อคิวเป็นสิบคนเพื่อน้ำในแม่น้ำคนละแค่ 2 ถัง เด็กยังต้องออกเรือไปตักมาให้อีก ไวไวเลยอยากถ่อเรือไปแช่น้ำเอง ส่วนพริมขอข้ามไปก่อนละกัน อีกคืนเดียวก็จะเข้าเมืองแล้ว
และแล้วชาวเอเชียทั้งสองก็ถ่อโมโคโรไปทางเดียวกันได้สำเร็จ อย่างที่บอกว่าอยู่ๆก็อยากกินอะไรเย็นๆ เลยเอาน้ำร้อนที่ชาวบ้านเตรียมไว้มาชงชาดำ ขวดนึงเติมน้ำตาลและนมลงไปหน่อย ส่วนอีกขวดบีบเลม่อนลงไป พอถ่อมาถึงกลางน้ำก็ค่อยหย่อนขวดลงไปแช่ในตู้เย็นธรรมชาติเบื้องล่าง ไม่นานก็ได้ชานมและชามะนาวเย็นๆ สดชื่นสุดๆ ชาเย็นๆกับลมเย็นๆ เป็นวิวดื่มชาที่เกินจะบรรยาย ส่วนพวกบนฝั่งก็นั่งร้อนๆจิบชาร้อนกันต่อไป
Okavango Delta : Hippo pool
เย็นนี้มีนัดไปนั่งโมโคโร นั่งเฉยๆเลย ไม่ต้องถ่อเองแล้ว ชาวบ้านที่มาเป็นไกด์พาเรามาอีกฟากของเกาะกลางน้ำซึ่งเป็นที่ตั้งแคมป์ พระอาทิตย์อ่อนแสงจนท้องฟ้าเป็นสีชมพูจางๆ พริมได้ยินเสียงแปลกๆดังชัดขึ้นทุกที มั่นใจว่ามันต้องอยู่หลังกกหนาทึบพวกนี้แน่ เป็นเสียงคำรามที่ได้ยินบ่อยๆเวลาออกมาถ่อเรือเล่นกับคุณเพื่อนไวไว ชาวบ้านถึงบอกตลอดว่าห้ามถ่อไปไกลนะ เดี๋ยวไปเจอฮิปโป
เรือแล่นอ้อมไปตามแนวกกจนเข้ามาถึงภายในบึง ฮิปโปหลายสิบตัวกำลังดำน้ำผลุบๆโผล่ๆ เสียงที่ดังอยู่ตอนนี้เหลือเพียงเสียงฟึ่ดๆของน้ำที่ฮิปโปพ่นขึ้นมา เดี๋ยวตัวนั้นพ่น เดี๋ยวตัวนี้พ่น ละอองน้ำเลยฟุ้งเป็นประกายอยู่ในแสงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน ท้องฟ้าสีชมพูอมส้มเข้มขึ้นทุกนาที นึกไม่ออกเลยว่าถ้าไม่ใช่บึงฮิปโปแห่งโอคาวังโก เราจะไปหาที่ไหนสวยเท่านี้เพื่อดูฮิปโปได้อีก
พริมอยู่ห่างจากมันเท่าความกว้างของบึง ไม่ได้ใกล้แค่กระจกกั้นเหมือนในสวนสัตว์ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองได้ใกล้ชิดมากกว่า ได้นั่งเรี่ยน้ำในระดับเดียวกัน ซึมซัมบรรยากาศร่วมกัน และเป็นส่วนหนึ่งในโลกของพวกมัน แม้ฮิปโปจะไม่ได้ต้องการก็ตาม
Okavango Delta : Camping life
เพิ่งจะมารู้ว่าน้ำที่ใช้ชงชากินเมื่อวันก่อน ก็คือน้ำเหลืองๆจากแม่น้ำนั่นแหละ
แม่น้ำสีสนิมที่เค้าว่าสะอาด พอตักมาไว้ในถังเห็นชัดว่าเหลืองอ๋อย
ชาวบ้านที่เป็นผู้ชายจะเป็นทั้งไกด์และคนถ่อเรือ ส่วนผู้หญิงจะช่วยกันเตรียมอาหารรออยู่ที่แคมป์
ถึงน้ำสีเหลืองๆที่ดื่มกินและครัวกลางแจ้งที่พวกชาวบ้านนั่งทำกันกับพื้นทรายจะดูไม่ค่อยสะอาด เรียกว่าสกปรกเลยล่ะ แต่พริมก็ไม่เคยท้องเสียเลย ทั้งๆที่ปกติเป็นคนท้องเสียง่าย อยู่เมืองไทยคือท้องเสียหนักทุกเดือน โรคภูมิแพ้ที่เป็นตลอดตอนอยู่บ้านเรา พอไปแอฟริกาก็ไม่เคยเกิดขึ้นซักวัน ติดใจ