top of page

ZIMBABWE-ZAMBIA : น้ำตกร้อยรุ้ง

Updated: Nov 3, 2019



แค่น้ำตกวิคตอเรียอย่างเดียว ก็เพียงพอให้อยากมาแอฟริกาแล้ว อยากเห็นกับตา อยากเปียกกับตัว เพียง 3 วัน 3 คืน ที่นี่ก็ไต่อันดับกลายเป็นที่เที่ยวที่รักที่สุดในชีวิตได้อย่างง่ายดาย มันทำให้รู้สึกจริงๆ ว่าโลกเรายิ่งใหญ่และสวยงามจัง หวังว่าภาพที่ถ่ายมาจะเป็นคำตอบได้ว่า ทำไมพริมถึงชอบเรียกน้ำตกในฝันนี้ว่าน้ำตกร้อยรุ้ง


  • ขึ้นเฮลิปคอปเตอร์ดูน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

  • เดินเล่นเปียกๆดูน้ำตกที่กว้างยาวเป็นไมล์

  • เล่นน้ำริมหน้าผา บนยอดน้ำตกที่สูงเป็นร้อยเมตร

  • ขี่ม้าเข้าป่าตามหายีราฟ ขี่คนเดียครั้งแรกในชีวิต

  • ล่องเรือไปดูฮิปโปและช้าง

  • เอากางเกงคลุมหัวเดินข้ามชายแดนเป็นชั่วโมง

  • เมืองที่ผู้คนพูดแต่ภาษาอังกฤษ แล้วโค้งทักทายพริมด้วยคำว่า คอนนิจิวะ!

น้ำตกวิคตอเรียคือเหตุผลเดียวที่ทำให้พริมอยากมาซิมบับเว น้ำตกที่โผล่ขึ้นมาในกูเกิ้ลเป็นอันดับแรกเมื่อถามถึง world largest waterfall แม้จะไม่ได้กว้างที่สุดหรือสูงที่สุด แต่เพราะอะไรกันที่น้ำตกแห่งนี้ถูกพูดถึงว่ายิ่งใหญ่ที่สุด น้ำตกแห่งนี้เป็นพรมแดนธรรมชาติที่คั่นซิมบับเวและแซมเบียค่ะ แค่เที่ยวน้ำตกเลยต้องไปถึง 2 ประเทศ และนี่ก็เป็น 2 ประเทศแรกที่เปิดให้พริมรู้จักทวีปแอฟริกา เป็นการบินเดียวเที่ยวคนเดียวทั้งหมด 3 วัน 3 คืนค่ะ


Zimbabwe

  1. Horseback Safari - ซาฟารีบนหลังม้า ขี่เองครั้งแรกในชีวิต ขี่สัตว์ไปดูสัตว์

  2. Helicopter Flight over Victoria Falls - ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปดูน้ำตกจากบนฟ้า วิวเหนือจริงมาก

  3. Vultures Feeding - เลี้ยงข้าวเที่ยวอีแร้งนับร้อย

  4. Sunset Downer Cruise - ซาฟารีตามสายน้ำ พระอาทิตย์ตกดวงแรกในแอฟริกา

  5. Victoria Falls - สวยมากกก ลองดูว่าทำไมพริมถึงเรียกน้ำตกร้อยรุ้ง

Zambia

  1. Border Crossing - เดินเอากางเกงพาดหัวข้ามชายแดนเป็นชั่วโมงๆ

  2. Angel's Pool, Livingstone Island - เล่นน้ำริมหน้าผาของน้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแอฟริกา




 

ZIMBABWE

 

วิคตอเรียฟอลส์ Victoria Falls หรือที่ทุกคนชอบเรียกกันย่อๆว่าวิคฟอลส์ Vic Falls เป็นทั้งชื่อน้ำตกและชื่อเมือง ไม่ใช่เมืองหลวงของซิมบับเว แต่พริมมั่นใจว่ามันดังยิ่งกว่า ระหว่างที่กำลังเขียนประโยคนี้ พริมยังแอบแวบไปกูเกิ้ลเลยค่ะว่าเมืองหลวงจริงๆ ของซิมบับเวชื่ออะไรแน่


น้ำตกวิคตอเรียคือเหตุผลเดียวที่ทำให้พริมอยากมาซิมบับเว มันเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างแท้จริง ฝรั่งเดินกันให้ควั่ก ภาษาหลักคือภาษาอังกฤษ สกุลเงินที่ใช้คือ USD ปลั๊กไฟก็เป็นแบบอเมริกา ในขณะที่หลายๆ ประเทศในแอฟริกามีปลั๊กหน้าตาแปลกๆ ของทวีปเค้าเอง ที่พักทุกแห่งในเมืองนี้เต็มเร็วมาก สภาพเมืองหน้าตาดูแห้งแล้งอย่างที่สุด มองไปทางไหนก็เป็นสีส้มซีดๆ ส้มจากฝุ่นทรายที่ฟุ้งคลุมเมือง และซีดจากแดดที่เลียไปทั่ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีน้ำตกสุดยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆ


ผู้คนที่วิคฟอลส์นอกจากจะพูดอังกฤษเก่งแล้ว ยังคุ้นชินกับนักท่องเที่ยวมาก ยิ้มแย้ม ชอบชวนคุย เอะอะเป็นต้อง Hello, how are you? ช่วงที่ไปถึงใหม่ๆ ใครทักมา พริมไม่ยอมทักกลับเลย เราพกความกลัวมาเต็มกระเป๋า ระแวงไว้สารพัด จนคนที่โบกมือไม่หยุดเปลี่ยนมาโค้งให้แทน แล้วบอก คอนนิจิวะ เจอหลายหนเข้าเลยเริ่มรู้สึกตัว กลับมาคิดใหม่ว่านี่เราระวังตัวเกินเหตุไปรึเปล่า มันอาจเหมือนกับที่พริมใส่ผ้าปิดปากเดินในสนามบินเอธิโอเปียก็ได้ คือฟุ้งซ่านไปเองแท้ๆ



 

Horseback Safari, Zambezi National Park


หลังจากเดินทางข้ามฟ้ามา 17 ชั่วโมง ลงเครื่องปุ๊บก็จะรีบไปซาฟารีทันที ถึงทริปนี้จะยาวเกือบเดือน แต่จะใช้ทุกวันเที่ยวๆๆ ให้คุ้มที่สุด การผจญภัยแรกที่พริมเลือกคือซาฟารีบนหลังม้า เหมือนซาฟารีทุกอย่างแค่เปลี่ยนจากการนั่งรถมาเป็นขี่ม้าแทน เค้าบอกไม่ต้องมีประสบการณ์ก็มาได้ เราขี่เข้าป่ากันเป็นกรุ๊ปเล็กๆ นักท่องเที่ยว 3 สตาฟอีก 3 ม้าใครม้ามัน ต้องบังคับเอง ไม่มีคนจูง ผู้ร่วมทริปของเราเป็น 2 สาว 2 ชาติ คนแรกบอกเราว่ามาจากแคลิฟอร์เนีย มีม้าเป็นของตัวเองที่บ้านด้วย ล่าสุดเพิ่งได้ม้าป่ามาเพิ่ม 'มันคลั่งมากๆ แต่ชั้นก็เทรนมันได้สบาย' ส่วนอีกคนไม่น้อยหน้าเลย เป็นนักแข่งม้าจากอิตาลี่ 'ชั้นมีใบอนุญาตแข่งม้าด้วย' ประสบการณ์ขี่ม้าแคระที่หัวหินสมัยเด็กไม่ควรถูดขุดมาเล่าสินะ


ตั้งใจจะเอากล้องไปด้วยค่ะ เมื่อก่อนพริมคิดว่าตัวเองชอบเที่ยวเลยอยากถ่ายรูป แต่เดี๋ยวนี้เริ่มรู้ตัวแล้วว่าชอบทั้งคู่พอๆ กัน ถึงจะมือใหม่ขี่ม้าแต่ก็ขอถ่ายหน่อย สตาฟเห็นเข้าพอดีเลยบอกว่าอย่าเอาไป มีคนเจ็บตัวเพราะกล้องมาเยอะแล้ว สุดท้ายพริมเลยคว้ามือถือปีนขึ้นหลังม้าไปแทน แล้วเค้าก็สอนวิธีบังคับม้าให้มันเลี้ยว ให้มันหยุด สอนเสร็จไม่รอดูพริมฝึกเลย คือยังไม่ทันได้ทำตาม อ่าว ขบวนเคลื่อนแล้ว เราขี่ผ่านป้าแห้งโปร่งๆ ลึกเข้าไปเรื่อยๆในอุทยาน แซมเบซิ Zambezi อุทยานแห่งนี้อยู่ติดตัวเมืองและอุทยานน้ำตกวิคตอเรียเลยค่ะ

รูปนี้ใส่พระจันทร์แถวบ้านเล่นๆ ของจริงเล็กๆอยู่ข้างหลังค่ะ

พระจันทร์ลอยขึ้นฟ้ามานานแล้ว พระอาทิตย์ใกล้ตกดินเข้าไปทุกที  แดดกำลังเป็นสีส้มทอง มองไปทางไหนก็สวย ยิ่งตอนควบเร็วๆ แล้วทรายฟุ้งขึ้นมา เหมือนขี่ม้าเข้าไปในหมอกสีทอง สวยมาก เผลอสูดเข้าไปเต็มๆ เลยได้แต่ไอแค่กๆ คอแห้งเลย ตลอด 3 ชั่วโมงในป่าลึก ได้เจอ อิมพาล่า กวาง คูดู ไก่ฟ้า แล้วก็ยีราฟ 2 ตัว ที่ถึงกับหยุดเล็มยอดไม้แล้วหันมาจ้องใหญ่ คงงงว่าสัตว์ประหลาดอะไร ครึ่งม้าครึ่งคน


ขี่ม้าไม่ได้ยากอย่างที่คิด ดึงให้เลี้ยวมันก็เลี้ยวตามใจเรา แต่จะพูดอีกอย่างก็คือ พอมันเห็นตัวหน้าเลี้ยว มันก็เลี้ยวตามเอง ความลำบากอยู่ที่การทรงตัวบนหลังม้าต่างหาก เพราะม้าไม่ได้แค่เดินอย่างเดียว มีวิ่ง มีควบขึ้นลงเนินด้วย เกือบไหลตกหลังม้าเลยค่ะ ดีว่าคว้าคอม้าไว้ทัน แต่มือใหม่อย่างเราก็ยังหาเรื่องขี่ม้ามือเดียวอีก จะได้หยิบมือถือมาถ่ายรูปได้ เด้งๆ กระแทกๆ จนระบมไปทั้งตัวแล้ว อยากกลับใจจะขาดจนเผลอเข้าข้างตัวเองบ่อยๆว่าต้นไม้ต้นนั้นคุ้นจัง เลี้ยวพ้นไปต้องเป็นฟาร์มแน่ๆ คิดแบบนี้เป็นสิบรอบก็ไม่ใช่ซะที เลยไม่คิดแล้วว่าต้นไหนคุ้น คิดแค่ไม่มีครั้งหน้าแล้วแน่ๆ



ตอนกลับมาถึงฟาร์ม สาวมือโปรทั้งคู่กระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วสวยงาม แล้วเข้าไปนั่งในศาลา จิบชา กินกล้วย กินส้ม หัวเราะกันคิกๆ ในขณะที่พริมยังลงจากหลังม้าไม่ได้เลย ครึ่งล่างชาจนไม่มีแรงตวัดขามาฝั่งเดียวกันเพื่อโดดลง สตาฟที่รอจูงม้าไปเก็บคิดว่าติดใจ ไม่ยอมลง แต่ในที่สุดก็ยอมกระโดดด้วยสภาพเหมือนโดนถีบลงมากองมากกว่า จะยืนก็ยืนไม่ขึ้น ได้แต่นั่งฟุบอยู่แทบเท้าม้า มันหันมามองด้วย อาจจะเป็นความสงสารเห็นใจ เพราะตอนขี่ก็ผูกมิตรกันดีอยู่ คือถึงบังคับไม่เก่งแต่ก็ช่วยปัดแมลงหวี่แมลงวันให้มันตลอด เห็นมันสะบัดหัวไล่แมลงแบบรำคาญ เราเลยอาสาทำให้เอง มือโปรอาจขอบคุณม้าด้วยการลูบหัวลูบจมูกมัน แต่มือใหม่นี่เล่นใหญ่ลงไปคารวะถึงพื้นเลย


โดนกิจกรรมแรกสูบพลังไปมาก พอกลับถึงที่พักเลยไม่มีแรงออกไปหาอาหารเย็นกิน เลยกินขนมปังก้อนที่หยิบติดมือมาจากบนเครื่อง ไม่มีแรงเดินไปอาบน้ำด้วย ห้องน้ำรวมอยู่ไกลและทางไปก็มืด ที่พักคืนนี้เป็นบ้านเล็กๆ ราคาพันกว่าบาท สภาพทึมๆโทรมๆ ประกอบด้วยโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ พัดลมเพดานแบบห้องเรียนย้อนยุค มีมุ้งสั้นๆ ห้อยลงมาจากเพดานที่คลุมไม่ถึงเตียง หน้าต่างที่ปิดไม่ค่อยสนิท เรียกว่าหลอนเลยก็ได้ เหนื่อยจนคิดต่อไม่ไหวแล้วค่ะ คืนนี้สลบยาวๆ 13 ชั่วโมง




 

Helicopter Flight over Victoria Falls


หลังจากตื่นมาพร้อมความระบมจากการขี่ม้าวันก่อน เช้านี้จึงเดินเขยกๆ ไปนั่งกินอาหารรอเวลารถมารับ นี่เป็นอีกสิ่งที่พริมรู้สึกว่าวิคฟอลส์ช่างเป็นเมืองท่องเที่ยว เพราะ ไม่ว่าคุณจะเลือกทำกิจกรรมอะไร ทุกที่จะมีรถมาคอยรับส่งคุณเสมอ สะดวกสบายมาก

โชคดีได้นั่งหน้าคู่คนขับ เดือนสิงหาคมที่พริมไปถึงถือเป็นช่วงที่น้ำเริ่มน้อยแล้ว นี่ขนาดน้ำน้อย ละอองยังปลิวไปทั่วฟ้า มองลงมาเหมือนมีหมอกห่มคลุมน้ำตกตลอดเวลา จริงๆพริมอุตส่าห์คิดมานะว่าควรขึ้นบินตอนกี่โมง เพื่อให้แดดส่องทางไหน จะได้ถ่ายรูปสวยๆ สรุปว่าหมอกบรึม


รู้สึกเหมือนกำลังดูสารคดีกำเนิดโลกเลยค่ะ มันยิ่งใหญ่จนไม่คิดว่าธรรมชาติแบบนี้จะมีอยู่จริงๆ หน้าผาข้างล่างมองคล้ายแผ่นเปลือกโลกที่แยกออกจากกัน ข้างล่างเดือดพล่านจนพ่นควันออกมาไม่หยุด แล้วรุ้งกินน้ำโผล่ขึ้นมาสวยๆ จากรอยแยกนั้น พรุ่งนี้จะลงไปสำรวจให้ทั่วเลย


สวยจนใจสั่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง พาลให้มือไม้สั่นตามไปด้วย มือนึงถ่ายด้วยกล้องอีกมือถ่ายด้วยโทรศัพท์ แต่สายตากลับมองตรงไปนอกหน้าต่างเพราะอยากมองทุกอย่างด้วยตาเปล่าให้นานที่สุด ก่อนหน้านี้พริมเคยนั่งเฮลิคอปเตอร์ชมวิวมาก่อน ครั้งนั้นพลาดอย่างแรงที่เอาแต่ถ่ายรูปจนลืมมองมันตรงๆ รูปสวย แต่ความทรงจำแทบเป็นศูนย์ ครั้งนี้เลยตั้งใจกับการมองตาเปล่าเป็นพิเศษ มองแบบสูบๆๆ เพราะมีเวลาบนฟ้าแค่ 14 นาทีเอง

วนๆเหนือน้ำตก 2 รอบ แล้วเฮลิคอปเตอร์ก็พาเราไปส่องสัตว์ต่อทันที ในรูปโบรชัวร์จำได้ว่าเห็นฝูงช้างเล่นน้ำ เลยจินตนาการไว้ว่านั่นจะต้องเป็นมาตรฐานขั้นต่ำของเรา วันนี้ต้องเห็นอะไรเด็ดกว่านั้นแน่

สรุปเจอสัตว์คล้ายกวางโผล่มายืนงงๆ 2 ตัว จบเร็วเหลือเกิน 14 นาที จำไม่ได้เลยค่ะว่าที่เห็นนั่นคือแอนทีโลพตัวไหนกันแน่ เพิ่งมาแอฟริกาได้ไม่กี่วัน ยังไม่คุ้นเคยกับพวกสัตว์เลย แอนทีโลพตัวไหนๆ สำหรับพริมตอนนั้นก็คือกวางหมด

  • ควรใส่เสื้อผ้าสีดำขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เพราะเวลาถ่ายรูปวิวข้างนอก สีเสื้อจะได้ไม่สะท้อนกระจกรบกวนมากนัก




 

Vultures Feeding, Victoria Falls Safari Lodge


ตอนแรกคิดไว้ว่านั่งเฮลิคอปเตอร์เสร็จจะกลับไปเดินเล่นในเมือง แต่คนขับรถที่คอยรับส่งบอกว่า ‘เมืองเล็กนิดเดียว คุณมีเวลาเหลือเยอะจะตาย ไปดูฝูงแร้งเป็นร้อยๆตัวมั้ยล่ะ’ เริ่มลังเลยค่ะ ‘ดูฟรีด้วยนะ อยู่ไกลหน่อยแต่เดี๋ยวขับไปส่งได้’ ไปค่ะ! ดูได้แค่วันละรอบเท่านั้นเอง พลาดไม่ได้ๆ

เหมือนในสโนว์ไวท์

ใกล้บ่ายโมง ท้องฟ้าที่ว่างเปล่าไร้เมฆเริ่มมีแร้งบินไปมา มันมีหลายสายพันธุ์ ตัวใหญ่ๆ ที่กะด้วยสายตาแล้วน่าจะสูงพอกับสุนัขเริ่มร่อนลงเกาะตามต้นไม้ ส่วนพันธุ์ที่ตัวเล็กๆ ยืนรอกันตามพื้นทราย แร้งถือเป็น 1 ใน Ugly5 สัตว์สุดน่าเกลียดของแอฟริกา จนบ่ายโมงตรงตามสัญญาที่รู้กันระหว่างแร้งและโรงแรม  พนักงาก็จะแบกคูลเลอร์ถังใหญ่ที่ภายในมีโครงไก่มากมายออกมา เค้าเอาไปหย่อนกลางวงแล้วรีบวิ่งหน้าตั้งหนีมาทันที

เข้าใจคำว่า แร้งรุม แร้งทึ้ง ก็คราวนี้เลยค่ะ แทบเหยียบกันตาย บางตัวถึงกับขี่หลังกันเพื่อให้เข้าไปใกล้ซากไก่ได้มากที่สุด ฝุ่นทรายที่พื้นจากการกระพือปีกของแร้งหลายร้อยตัวปลิวว่อน เสียงไอค่อกๆ แค่กๆ ดังกันระงม พริมนั่งห่างออกมาเป็นสิบเมตรยังโดนฝุ่นอัดเข้าไปในจมูกและคอ ฝุ่นเกาะเต็มหน้าเลนส์เทเลจนต้องดึงฮู๊ดออกมาช่วยบัง และแล้วโต๊ะจีนที่รุมกินก็ระเบิด ซากไก่กระจัดกระจายไปทั่วลาน พี่น้องแร้งไม่ต้องเหยียบกันกินอีกต่อไป

'เราต้องการแร้ง มากกว่าที่แร้งต้องการพวกเรา'

พนักงานโรงแรมผู้มีหน้าที่นำส่งอาหารเที่ยงให้แร้งในทุกวันบอก แร้งช่วยเติมเต็มระบบนิเวศให้สมบูรณ์ ใครๆก็รู้มันกินซาก หลังผู้ล่าจัดการสัตว์ใหญ่เสร็จ ก็จะถึงคิวแร้งที่จะช่วยกำจัดซากเหล่านั้นให้หมดไปก่อนที่ซากจะเน่า แล้วโรคจากสัตว์ที่ตายจะแพร่ระบาดออกมา เพราะแบบนี้ทุกชีวิตถึงต้องการแร้ง

วิวจากสระว่ายน้ำซาฟารีลอดจ์ ซูมๆดูเห็นแร้งริมน้ำด้วย

จบจากมหกรรมแร้งลง พริมก็รีบตรงกลับเข้าเมืองไปหาอะไรกินก่อน ในเมืองวิคฟอลส์นั้นมีซุปเปอร์มาเก็ตอยู่ 2 แห่ง พริมมาซื้ออาหารจากที่นี่เพราะจะได้เลือกกินจากหน้าตามันได้เลย ถ้าเข้าร้านก็ต้องมั่วจากเมนูอีก เค้าจะมีแผนกขายอาหารที่หน้าตาเหมือนร้านข้าวแกงบ้านเราเลย พนักงานจะตักอาหารแล้วเอาไปชั่งน้ำหนักคิดราคาตามปริมาณให้ บ่ายสามแต่คนยังเยอะอยู่  ผู้ชายที่มาถึงก่อนเลือกกินข้าวกับสตูว์เนื้อ เค้าเลือกชี้เนื้อทีละชิ้นๆ ผ่านตู้กระจกอย่างใจเย็น พนักงานก็ดีใจหาย ค่อยๆ คนชิ้นเนื้อที่อยู่ข้างล่างขึ้นมาให้ลูกค้าเลือกด้วย กว่าคนแรกจะเลือกเนื้อหน้าตาดูนุ่มๆ ครบ 3 พริมก็หิวไส้แทบขาด พอถึงคิวตัวเองเลยให้พนักงานตักให้เลย ได้ข้าวสวยกินกับสตูว์เนื้อ และขอเพิ่มหัวใจไก่ย่างไหม้ๆดำๆมาลองด้วย ส่วนซอสและผัก แปลกดีที่เค้าถือว่าเป็นของฟรี ตักราดให้ไม่คิดเงิน อร่อย แต่เพราะไม่ยอมเลือกเลยได้กระดูกเปล่ามากินเต็มเลย




 

Sunset Downer Cruise, Zambezi River

ซาฟารีบนหลังม้าและบนฟ้ากันมาแล้ว ครั้งนี้มาทางน้ำบ้าง พริมเลือกเวลาพระอาทิตย์ตกไว้ มั่นใจว่าช่วงเวลานี้ต้องสวยที่สุดแน่ๆ แม่น้ำสายนี้ชื่อ แซมเบซิ Zambezi เป็นพรมแดนธรรมชาติที่คั่นระหว่างซิมบับเวกับแซมเบีย แล้วจึงไหลไปเรื่อยๆจนถึงหน้าผา จนตกลงมาเป็นน้ำตกสุดยิ่งใหญ่ที่ชื่อวิคตอเรีย

บนเรือเล็กๆที่พื้นปูพรม มีโต๊ะตั้งอยู่ 6 ตัว นักท่องเที่ยวก็ประมาณ 20 คน พริมเลือกมาเรือขนาดเล็กหน่อย เพราะเค้าบอกจะขับไปใกล้ฝั่งได้มากกว่า โอกาสเห็นสัตว์ก็ใกล้กว่า ไม่รู้จริงมั้ย เราสามารถสั่งเครื่องดื่มบนเรือมาดื่มได้เรื่อยๆ บาร์เทนเดอร์จัดให้ไม่อั้น มีอาหารว่างเสิร์ฟด้วยค่ะ แต่ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างต้องใช้มือหยิบกิน เปาะเปี๊ยะทอด ซาโมซ่า ปีกไก่ย่างเย็นๆ แซนวิชแห้งๆ อะไรแบบนั้น บนเรือมีคู่มือแนะนำสัตว์ด้วย เวลาเจอนกอะไรแปลกๆ คุณบาร์เทนเดอร์ก็จะผันตัวเป็นไกด์ รีบเปิดหนังสือชี้นกเป็นนกให้ดูทันที

บนเรือเล็กๆที่พื้นปูพรม มีโต๊ะตั้งอยู่ 6 ตัว นักท่องเที่ยวก็ประมาณ 20 คน พริมเลือกมาเรือขนาดเล็กหน่อย เพราะเค้าบอกจะขับไปใกล้ฝั่งได้มากกว่า โอกาสเห็นสัตว์ก็ใกล้กว่า ไม่รู้จริงมั้ย เราสามารถสั่งเครื่องดื่มบนเรือมาดื่มได้เรื่อยๆ บาร์เทนเดอร์จัดให้ไม่อั้น มีอาหารว่างเสิร์ฟด้วยค่ะ แต่ไม่คิดเลยว่าทุกอย่างต้องใช้มือหยิบกิน เปาะเปี๊ยะทอด ซาโมซ่า ปีกไก่ย่างเย็นๆ แซนวิชแห้งๆ อะไรแบบนั้น บนเรือมีคู่มือแนะนำสัตว์ด้วย เวลาเจอนกอะไรแปลกๆ คุณบาร์เทนเดอร์ก็จะผันตัวเป็นไกด์ รีบเปิดหนังสือชี้นกเป็นนกให้ดูทันที

กัปตันจะขับเรือไปไหน ช้างอยู่ข้างหลังง

ระหว่างล่องเรือมีฮิปโปโผล่ขึ้นมาพ่นน้ำอยู่เรื่อยๆ มันซ่อนอยู่ใต้น้ำตลอดเวลา นานๆทีถึงจะโผล่หู ตา จมูก ขึ้นมา พริมว่าฮิปโปก็ดูขี้เล่นน่ารัก แต่กัปตันเรือ



บอกมันไม่น่ารักเลย ค่อนข้างดุร้าย เขี้ยวยาวเกินหน้าเกินตาสัตว์กินพืชทั่วไป ถ้ามันกัดคน เขี้ยวโค้งยาวนี้สามารถแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจได้เลย ฟังดูเล่นๆเป็นเพลง แต่นี่จริงจังเลยนะ

เวลาที่ทั้งเรือเงียบ ซึ่งเป็นไปได้ยากยิ่ง ทุกคนคุยกันตลอดเวลา แม้แต่พริมที่ไปคนเดียว คุณลุงอินเดียกับคุณลุงอังกฤษยังชวนคุยเพลินเลย เรื่องกล้องบ้าง เรื่องที่เที่ยวบ้าง  กัปตันจึงต้องขอให้ทุกคนช่วยเงียบหน่อย เพราะเวลาที่ทั้งเรือเงียบ เราจะได้ยินเสียงน้ำตกวิคตอเรียที่อยู่ห่างไปเกือบกิโล และจะมองเห็นว่าท้องฟ้าบริเวณนั้นมีหมอกรุ้งอยู่ด้วย บรรยากาศการล่องเรือช่วงก่อนอาทิตย์ตกนี่ดีมากจริงๆ ลมแม่น้ำพัดมาเย็นๆ ทุกคนแต่งตัวสบายๆ เสื้อแขนสั้น กางเกงขาสั้น ทั้งลำมีแค่พริมนี่แหละที่แต่งตัวปิดมิดชิด เพราะกลัวยุงถึงที่สุด

เค้าว่าถ้าคุณโชคดี คุณจะได้เจอช้าง แล้วทันใดนั้นช้างแอฟริกันก็เดินออกมาจากพุ่มไม้ แล้วเดินลุยน้ำไปเลย สะบัดงวงไปมา คงกะจะเดินตัดช่องทางธรรมชาติไปโผล่แซมเบีย แต่ตลกมาก มันยกหางชี้ฟ้าตลอดเวลาเหมือนกลัวว่าปลายหางที่มีขนอยู่หร็อมแหร็มนั้นจะเปียก พยายามชูหางจนถึงที่สุดจริงๆ จนกระทั่งน้ำลึกจนมิดตัว โผล่มาให้เห็นแค่ลูกตา

พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งทำให้เห็นว่าดวงอาทิตย์ที่นี่กลมโตสวยงาม มันไม่ส้ม ไม่แดง แต่สุกก่ำจนชมพู ดีที่เลนส์เทเลตัวนี้รูรับแสงกว้างถึง 2.8 จึงช่วยให้กล้องตัวเล็กๆอย่างโอลิมปัส omd em10 ถ่ายรูปตอนแสงน้อยๆ มาได้สบายๆ กลับถึงที่พักวันนี้ต้องไปอาบน้ำแล้ว ในห้องน้ำรวมมียุงตัวใหญ่เกาะเต็มเลย ถึงยุงที่นี่จะบินช้าและไม่ค่อยสุงสิงกับคนเท่ายุงไทย แต่เวลาอาบน้ำแปรงฟันพริมก็เต้นตลอด หวังว่ายุงคงกัดไม่ทัน




 

ZAMBIA

 

เช้าวันที่ 3 แล้ว เร็วจังเลย พริมตื่นมาจัดการโดนัทฮาวายเอี้ยนตั้งแต่เช้า วันนี้จะได้เที่ยวน้ำตกซะที  คิดไว้แล้วว่าจะไปว่ายน้ำบนยอดน้ำตกวิคตอเรียจากฝั่งแซมเบียก่อน แล้วค่อยกลับมาเดินเที่ยวอุทยานน้ำตกวิคตอเรียจากฝั่งซิมบับเวตอนบ่าย เพราะแอบค้นมาว่าตอนบ่ายจะเห็นรุ้งกินน้ำเยอะมาก เนื่องจากคิดไว้แล้วว่าจะไปเล่นน้ำตก เลยใส่ชุดว่ายน้ำเตรียมไว้


พริมถามคนที่โรงแรมว่าเดินไปแซมเบียนี่ไกลมั้ย เค้าบอกไม่ไกล เดินได้ น่าจะโลเดียว ค่าแท๊กซี่ในตัวเมืองวิคฟอลส์นี่เที่ยวละ 5 usd แต่ถ้านั่งไปแซมเบียเค้าจะคิด 30 usd พริมก็เลยเลือกเดินซะเลย เผื่อเวลาเดินซักชั่วโมงกะให้ไปถึงเวลาเรือออกสบายๆ เราต้องนั่งเรือไปตามแม่น้ำแซมเบซี (ที่เมื่อวานมาซาฟารี) จนถึงเกาะเล็กๆริมหน้าผา ตรงนั้นจะมีเวิ้งน้ำให้ว่ายเล่นได้ ก่อนที่แม่น้ำทั้งสายจะไหลลงสู่เบื้องล่าง เกาะที่เราต้องนั่งเรือไปนี้ชื่อว่าลิฟวิ่งสโตน Livingstone Island

หลังจากเดินตากแดดกิโลกว่าจากที่พักถึงด่านตรวจคนของซิมบับเว ยังต้องข้ามสะพานอีกเป็นกิโลถึงจะเจอด่านตรวจคนของแซมเบีย บนสะพานไม่มีนักท่องเที่ยว มีแต่ชาวบ้านเดินแบกของเหมือนจะไปขายบ้าง ใส่สูทเหมือนจะข้ามไปทำงานก็มี จากกลางสะพานนี้มองเห็นน้ำตกไกลๆด้วย ลองย้อนไปดูรูปที่พริมถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์จะเห็นสะพานเหล็กยาวๆทอดระหว่างประเทศ

หลังจากโผล่มาฝั่งแซมเบียแล้วยังต้องเดินต่อไปอีกเพื่อไปยังจุดขึ้นเรือ แต่เดินเท่าไหร่ก็ว่างเปล่า ข้างทางแห้งแล้งมีแต่พงหญ้าเหลืองๆ นานๆจะมีรถวิ่งผ่านมาที แต่ไม่มีใครบ้ามาเดินดุ่มๆริมชายแดนบ้างเลย เพราะตัวเมืองลีฟวิ่งสโตนของแซมเบียอยู่อีกไกล แถวนี้มีแค่โรงแรมหรูๆตั้งอยู่ในเขตอุทยานแค่นั้น

พริมเดินต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ตาลายเพราะแดดหรือความหิวกันแน่ อาหารเช้าไม่เหลือติดท้องแล้ว เลยควักขนมปังก้อนที่ 2 ที่เก็บมาจากบนเครื่องบินขึ้นมากิน ขนมปังเก่าๆ จาก 3 วันก่อนแห้งจนกลืนไม่ลง กัดแล้วก็ต้องอมไว้แทน พริมเดินเลยจุดที่แผนที่บอกว่าเป็นท่าเรือมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววท่าเรือ ผู้คน หรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ใกล้ถึงเวลาที่เรือจะออกแล้วด้วย เหนื่อยมากแต่ก็วิ่งๆๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าต้องวิ่งไปอีกไกลแค่ไหน

ในขณะที่ลังเลว่าควรจะเดินย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อหาท่าเรือให้ละเอียดอีกซักครั้ง หรือควรวิ่งต่อไปดี โชคก็เข้าข้าง เจ้าหน้าที่รัฐ 2 คนที่กำลังเดินอยู่หลังรั้วเหล็กฝั่งตรงข้ามเห็นพริมเข้า แต่หญ้าสูงๆทำให้พริมเห็นเค้าแค่หัว เค้าตะโกนข้ามถนนมาทักทายเพราะแปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวหลุดมาอยู่ตรงนี้ เค้าบอกว่าอีกไม่ไกล สู้ๆ ยกนิ้วโป้งให้ด้วย ได้ยินแล้วค่อยมีแรงหน่อย เลยวิ่งต่อ อีกไม่ไกลของเค้าปาไป 15 นาที ในที่สุดเรือก็รอเราอยู่ตรงนั้นจริงๆ ทุกคนบอกบ้าไปแล้ว คุณเดินมาได้ยังไง นั่นสิ ถ้ารู้ก่อนนะ

1.5 กิโลซิมบับเวทำไมมันเทียบเท่ากับที่พริมเดินสลับวิ่งอยู่กว่าชั่วโมงครึ่ง ติดใจในระยะทางจนต้องลองเปิดแผนที่ดูใหม่ ท่าเรือของจริงมันห่างจากที่กูเกิ้ลแมพบอกลิบลับเลย ขากลับเริ่มอยากนั่งแท๊กซี่ซะแล้ว




 

Angel’s Pool, Livingstone Island


จริงๆตั้งใจจะมาว่ายน้ำที่สระปีศาจ devil’s pool ตามกำหนดการของทุกปี สระนี้ต้องเปิดให้เที่ยวตั้งแต่สิงหาคมแล้ว แต่ว่าปีนี้น้ำเยอะมาก นักท่องเที่ยวอาจไหลไปกับน้ำตกกลายเป็นปีศาจไร้วิญญาณซะเอง เค้าเลยพานั่งเรือไปเล่นที่สระนางฟ้า angel’s pool แทน ริมหน้าผาเหมือนกัน แต่ก็เสียดายนิดหน่อย อุตส่าห์ยอมเลื่อนทริปนี้ทั้งทริปเพื่อจะได้มาสระปีศาจเลยนะ

แอ่งน้ำพวกนี้คือจุดสูงสุดของน้ำตก ไม่มีรั้วกั้นใดๆ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่ต้องกลัว ยังไม่เคยเห็นใครตกลงไปซักคน น้ำที่ไหลผ่านตัวเราไปจะไหลลงมาเป็นน้ำตกวิคฟอลส์ เย็นสดชื่นจนอยากจะนั่งแช่ไปนานๆ นั่งให้น้ำตกแรงๆนวดหลังจนสบาย บางจุดน้ำค่อนข้างแรงจนเดินผ่านแทบไม่ได้ เลยทิ้งตัวลงนั่งเกาะหินแถวนั้นแทน มองไปฝั่งตรงข้ามก็คือน้ำตกฝั่งซิมบับเว เห็นนักท่องเที่ยวยืนถ่ายรูปจากฝั่งนู้นเต็มเลย

แช่น้ำอยู่ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็ต้อนพวกเราขึ้นมาถ่ายรูปทีละคน เค้าเอากล้องไปแล้วกำกับมุม กำกับท่าทางให้หมด มุมนี้ต้องนั่ง มุมนั้นต้องนอน แต่คุยกันด้วยภาษามือเพราะเสียงน้ำตกดังมากจนไม่ได้ยินอะไรเลย

โชคดีว่ากล้อง olympus tough tg5 ที่เอามาลุยน้ำกระแทกหินได้เต็มที่ จะได้ใช้แบบรุนแรงๆให้สมกับที่เป็นกล้องลุยๆ เจ้าหน้าที่ให้เราเดินลงสระกันทีละคน แล้วอาสาเป็นตากล้องให้ กำกับให้หมดว่าต้องมุมนี้ต้องนั่ง มุมนี้ต้องนอน แต่เพราะเสียงน้ำตกดังมากจนคุยกันแทบไม่รู้เรื่อง อยากได้รูปแนวนอนเลยต้องส่งภาษามือไป

กิจกรรมนี้รวมอาหารเที่ยงให้ด้วย พริมเลือกกินเป็นครัวซองท์ไส้เบค่อนและหัวหอมคาราเมล กินกับสลัดผักเหยาะบัลซามิก กินอิ่มจนรู้สึกมีแรงจะเดินข้ามประเทศอีกซักครั้ง


ไหนๆก็ตัวเปียกแล้ว เดินกลับ เสื้อผ้าจะได้แห้งพอดี แล้วมันก็ยิ่งกว่าแห้งอีกค่ะ แสบผิวมากๆ จนพริมต้องเอาเสื้อและกางเกงที่ยังเปียกน้ำมาโปะหัวโปะหน้าให้เหลือแต่ลูกตา รู้สึกเป็นปลาขาดน้ำที่ต้องหาทางเอาตัวรอด ร่างกายไม่เหลือน้ำให้ความร้อนดูดได้อีกแล้ว คนขับรถผ่านไปผ่านมาต้องมีชะงักบ้างล่ะ คนอะไรเอากางเกงมาโปะหน้าเดิน มีเด็กชะโงกออกจากรถมาดูแล้วบ๊ายบายให้ ไม่โบกมือกลับน้องเค้าก็ไม่ยอมหดหัวกลับไปด้วยนะ แม้รถจะแล่นผ่านไปไกลแค่ไหนก็ตาม เดินมาซักพักก็เจอชาวบ้านกลุ่มเดิมที่นั่งอยู่ริมทางตั้งแต่เช้า ร้องทักเสียงดังเลย  'คุณกลับมาแล้วนี่' แอบดีใจที่ได้รับความเป็นมิตรจากรายทางเต็มไปหมด แต่ความกลัวที่พกมาจากบ้านก็เกาะพริมแน่นหนึบจนไม่กล้าทักทายใครกลับ เค้าคงคิดว่าพริมไม่เข้าใจ hello เลยเปลี่ยนมาโค้งให้แล้วพูดว่า คอนนิจิวะ แทน!




 

ZIMBABWE

 

น้ำตกวิคตอเรียกินพื้นที่ 2 ประเทศ คือทั้งซิมบับเวและแซมเบีย คนซิมบับเวยืนยันว่ามองน้ำตกจากฝั่งเค้าสวยกว่า แต่เมื่อเช้าที่เดินขาลากไปแซมเบียมา คนแซมเบียก็โหวตให้ฝั่งตัวเองอีก พริมว่าจะแวะอุทยานทั้ง 2 ฝั่งเลย แต่สงสัยเดินเอากางปิดหน้าเพลินจนเลยทางเข้าอุทยานฝั่งแซมเบียมาแบบไม่รู้ตัว เหนื่อยจนไม่มีแรงเดินย้อนกลับไปแล้วล่ะ ถ้ามีน้ำเปล่าขวดละ 200 บาทมาขายตอนนี้ก็ยินดีซื้อ



 


Victoria Falls National Park


น้ำตกวิคตอเรียกินพื้นที่ 2 ประเทศ คือทั้งซิมบับเวและแซมเบีย คนซิมบับเวยืนยันว่ามองน้ำตกจากฝั่งเค้าสวยกว่า แต่เมื่อเช้าที่เดินขาลากไปแซมเบียมา คนแซมเบียก็โหวตให้ฝั่งตัวเองอีก พริมว่าจะแวะอุทยานทั้ง 2 ฝั่งเลย แต่สงสัยเดินเอากางปิดหน้าเพลินจนเลยทางเข้าอุทยานฝั่งแซมเบียมาแบบไม่รู้ตัว เหนื่อยจนไม่มีแรงเดินย้อนกลับไปแล้วล่ะ ถ้ามีน้ำเปล่าขวดละ 200 บาทมาขายตอนนี้ก็ยินดีซื้อ


พริมเลยเข้าแค่น้ำตกวิคตอเรียฝั่งซิมบับเวแทน จ่ายค่าตั๋วเสร็จก็ตรงไปซื้อน้ำทันที ดื่มอั้กๆไป 2 ขวดก็ไปรับน้ำต่อในอุทยานดีกว่า อยากโดนละอองน้ำสาดใส่จะแย่แล้ว ภายในค่อนข้างคึกคัก เด็กๆเยอะแยะเลย นักท่องเที่ยวบางส่วนใส่เสื้อกันฝนด้วย ทางเดินทำไว้สวยงามและดูสะอาดสะอ้านไม่เจอขยะซักชิ้น ต้นไม้จัดแต่งไว้อย่างดี บางช่วงโค้งรับเป็นซุ้ม ละอองน้ำโปรยมาเรื่อยๆให้ทุกหนแห่งชุ่มฉ่ำ ร่างกายที่เดินเฉามาหลายชั่วโมงพอได้น้ำ ได้วิวสวยๆ ก็ฟิตขึ้นมาเฉยๆ บรรยากาศมันน่าตื่นเต้นเหมือนกำลังจะเดินไปเล่นล่องแก่งในสวนสนุกเลยค่ะ ชุดว่ายน้ำที่สวมไว้ตั้งแต่เช้าทำให้พริมพร้อมเปียกเต็มที่ แค่สวมหมวกอีกใบก็สู้หมดทั้งน้ำทั้งแดดแล้ว


ชื่อที่คนท้องถิ่นใช้เรียกน้ำตกวิคตอเรีย คือ โมสิอวาทุนย่า mosi-oa-tunya

แปลว่า ควันคำราม คงสื่อถึงความดุดันของน้ำที่ฟุ้งจนบดบังทุกสิ่ง ฟุ้งจนหน้าผาฝั่งแซมเบียยังหายไปในอากาศได้

ความยิ่งใหญ่ในทุกด้านทำให้มันเป็นอันดับ 1 ในทวีปแอฟริกา และติด 1 ใน 3 น้ำตกสุดยิ่งใหญ่ของโลกด้วยหน้ากว้างที่ยาวร่วมไมล์ และการตกจากหน้าผาลงมากว่าร้อยเมตร จึงถูกยกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกอย่างสบายๆ




น้ำตกคำรามซู่ซ่ามากจริงๆ ฟองสาดกระจาย ละอองน้ำที่กระเด็นออกมาถูกพัดขึ้นฟ้าไปตามลม มองแล้วก็เหมือนม่านฝนที่ตกขึ้นฟ้า นี่คงเป็นบริเวณเดียวของเมืองที่ต้นไม้ดูชุ่มฉ่ำ พริมเองก็พลอยได้รับความฉ่ำไปด้วย ปีกหมวกที่กางออกไว้บังแดดเปียกชุ่มจนลู่แนบหัว ต้องถอดหมวกออกมาบิดน้ำทิ้งอยู่เรื่อยๆ เมื่อละอองน้ำพวกนี้กระทบกับแดดยามบ่ายก็ทำให้เกิดรุ้งกินน้ำเต็มไปหมด ทุกโค้งที่เลี้ยวผ่านจะมีรุ้งกินน้ำรออยู่เสมอ รุ้งทุกตัวยาวจากพื้นจดพื้น โค้งเต็มวงสวยงาม บางทีก็เป็นรุ้ง 2 ตัวซ้อนกัน มีคนเคยบอกว่าเห็นรุ้งคู่เมื่อไหร่ให้อธิษฐาน ถ้ามาที่นี่รับรองว่าอธิษฐานเหนื่อยแน่นอนค่ะ มันเป็นคู่ทุกตัวเลย สวยจนทำให้คนที่ไม่ชอบเที่ยวน้ำตกอย่างพริมรีบยกน้ำตกวิคตอเรียขึ้นเป็นที่โปรดทันที

ปริมาณน้ำที่ตกลงมาเยอะจนเปลี่ยนผาหินสีน้ำตาลให้กลายเป็นสีขาวสนิทได้ ทั้งที่ปลายเดือนสิงหาคมแบบนี้ถือว่าเป็นช่วงที่น้ำเริ่มน้อยแล้ว ถ้ามาฤดูที่น้ำเยอะจริงๆ พริมเชื่อว่าคงมองอะไรไม่เห็นเลย เปียกระดับอาบน้ำใต้ฝักบัวแน่ๆ ทางอุทยานบอกว่าปริมาณของน้ำตกที่ไหลลงมาแค่เพียงแค่ 3-4 วันในช่วงที่น้ำเยอะๆ เทียบได้กับปริมาณน้ำที่คนนิวยอร์คใช้อุปโภคบริโภคกันตลอดทั้งปี!

ภายในอุทยานจะมีทางเดินเล็กๆลัดเลาะไปตามหน้าผา เนื่องจากน้ำตกนี้กว้างตั้งโลครึ่ง ตลอดเส้นทางจึงแบ่งจุดชมน้ำตกได้ถึง 16 จุด บางจุดจะตรงกับสระนางฟ้าฝั่งแซมเบียที่เมื่อเช้าพริมไปเล่นน้ำมาพอดี จุดที่พริมชอบที่สุดคือ 2 จุดสุดท้ายค่ะ มันเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ไม่มีต้นไม้มาบังวิว ไม่มีรั้วมากั้น แถมรุ้งตรงนี้จะตัวใหญ่ ซ้อนสองชั้น อลังการเป็นที่สุด มีครอบครัวใจดีที่เดินเที่ยวมาที่ละจุดพร้อมๆกับพริมอาสาถ่ายรูปให้ด้วย เป็นคนท้องถิ่นนี่แหละ คนที่นี่ใจดีมากเลย

พริมเอากระเป๋ากันน้ำมาเพื่อเที่ยวน้ำตกวิคตอเรียโดยเฉพาะ เอามา 2 ใบซ้อนกันเลยค่ะ กลัวว่าละอองน้ำที่ทำให้พริมเปียกทั้งตัวจะทำกล้อง olympus omd em10 เจ๊งตั้งแต่ประเทศแรกของทริป แต่สรุปแล้วจริงๆมันพอถ่ายได้นะคะ เดินเที่ยวซักพักจะจับทิศทางได้เองว่าเมื่อไหร่ถ่ายได้ เมื่อไหร่ต้องรีบหันหลังเอาตัวบังกล้องแล้วเก็บลงกระเป๋า เพราะละอองน้ำจะปลิวมาเป็นพักๆตามแต่แรงลม ถ้าโซนไหนเสี่ยงมากๆพริมถึงเอากล้องทนน้ำอย่าง tough tg5 มาใช้ เห็นเด็กฝรั่งตัวเล็กๆก็ถือกล้องตัวนี้กัน พ่อแม่คงเบาใจดี ตกได้เต็มที่เลยลูก

ที่เที่ยวบางแห่งเที่ยวครั้งเดียวก็รู้สึกพอ แต่กับน้ำตกวิคตอเรียที่ถึงแม้จะเดินครบทุกมุมแล้ว พริมก็ยังรู้สึกอยากกลับมาอีก เห็นความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติแล้วรู้สึกสดชื่นมีพลัง ไม่บ่อยหรอกค่ะที่จะได้ดูวิวสวยๆ 4 มิติ ห่างไกลแต่ก็ยังเปียกโชก

แห้ง แล้วก็เปียก แล้วก็แห้ง แล้วก็เปียก แล้วก็แห้งอีกครั้ง เมื่อต้องเดินออกจากน้ำตกกลับโรงแรมซะที คืนนี้ย้ายมานอนโรงแรมมีแอร์ด้วยค่ะ ห้องสะอาดสะอ้านต่างจากที่พักเดิมเหมือนคนละโลก เพราะพรุ่งนี้ต้องนัดเจอกับไกด์ที่จะพาไปเที่ยวบอตสวานาที่โรงแรมแห่งนี้ เย็นนี้พริมแวะซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นเคย ซื้อข้าวราดเนื้อสับกับน้ำพีชมากิน ระหว่างทางเจอคนตรงรี่เข้ามาขายของที่ระลึก สวัสดีๆ ชั้นมีของที่คุณต้องอยากได้แน่ๆ ไม้คนสลัด ถึงกับต้องแอบชำเลืองมองว่าทำไมเราต้องอยากได้แน่ๆด้วย มันเป็นช้อนไม้ที่ตัวด้ามแกะสลักเป็นรูปยีราฟ แต่ก็ไม่อยากได้อยู่ดี ปกติเวลาเจอแบบนี้พริมมักชอบทำเป็นไม่ได้ยินค่ะ หูทวนลม แล้วจ้ำหนีไปเร็วๆ แต่คนที่นี่ตัวสูงรีบตามมาทันที ขายแม้กระทั่งธนบัตรที่มีตัวเลข 100,000,000 พิมพ์ไว้ 

อยากเทียบขนาดน้ำตก อย่ามองพ่อลูกข้างหน้าค่ะ ให้มองคนตัวเท่ามดข้างหลังนู่น

ยิ่งเมินเค้ายิ่งตื๊อ สุดท้ายเลยลองหันไปคุยดีๆ ว่าไม่ต้องการนะ เค้าแค่ถามกลับมาว่าทำไมไม่ต้องการ พอตอบไปเค้าก็ยอมรับโดยดี อวยพรให้เที่ยวให้สนุกแล้วก็เลิกตื๊อเลย พริมเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจจะยิ่งถูกตาม เพราะเค้าคิดว่าเรายังลังเลไม่ตัดสินใจ แต่เมื่อพูดไปชัดเจน มันก็จะจบง่ายๆแค่นั้นเอง กลับถึงโรงแรมได้ก็สลบไสลให้กับวันที่แสนจะยาวนาน




 



รูปทั้งหมดถ่ายด้วย

  1. Olympus omd em10 mark3 : mirrorless ตัวเล็กๆแต่ถ่ายได้ดี พริมใช้ร่วมกับเลนส์ 3 ตัว คือ - เลนส์คิท m.zuiko 14-42 f3.5-5.6 เป็นเลนส์ที่แบนมากเลยชอบติดกล้องไว้ถ่ายวิว - เลนส์ฟิกซ์ m.zuiko 17mm f1.8 ใช้เวลาต้องการถ่ายเล่นเร็วๆ ง่ายๆ เช่น เมืองตอนกลางคืน ผู้คน อาหาร ได้รูปสวยง่ายๆไม่ต้องเสียเวลาเลือกระยะ - เลนส์เทเล m.zuiko 40-150 f2.8 pro เที่ยวแอฟริกาห้ามลืมเลนส์เทเลเด็ดขาด การแอบถ่ายคน ถ่ายสัตว์จะสนุกขึ้นเยอะ เพราะเราสามารถยืนไกลๆจึงได้รูปที่ดูเป็นธรรมชาติมา

  2. Olympus tough tg5 : กล้องสายลุยที่ลงน้ำ กระแทกพื้น โขกหิน คลุกทรายได้หมด ทริปนี้อุปสรรคน่าจะเยอะเลยถือโอกาสเอาตัวนี้ไปลองเล่นดู

  3. Iphone 8 : เฉพาะตอนขี่ม้า เค้าห้ามพกกล้องก็ต้องหลบเป็นมือถือนี่แหละค่ะ รูปสวยเพราะวิวสวย แต่เสียดายไฟล์หยาบไปหน่อย






bottom of page