top of page

FLORES : หาดดำ ทรายชมพู ถึงภูเขาไฟ

Updated: Feb 11, 2020


พอพูดถึงอินโด ในหัวเต็มไปด้วยภาพ โบรโม่ บาหลี

บางทีเห็นบ่อยๆ ก็อยากไป แต่พอเห็นมากไปเริ่มไม่เหลือความอยาก

รู้แค่มีนาอยากเดินทาง ค้นหาอยู่นานก็ไม่เจอประเทศถูกใจ แต่เพราะเชื่อว่าประเทศที่มีภูเขาไฟเยอะๆมักจะมีธรรมชาติแปลกๆสวยๆ เลยลองค้นอินโดดูใหม่ ในที่สุดทริปที่มี

หินฟ้า หาดดำ ทรายชมพู ถึงภูเขาไฟ จึงเกินขึ้น สวยแบบลืมทุกอุปสรรคในทริปไปเลยค่ะ แม้ตัวจะไหม้แดดจนตอนนี้ก็ยังลอกเป็นแผ่นน่าขนลุก แต่เห็นวิวแล้วก็ไม่เสียใจเลย

สิ่งที่น่าดีใจสำหรับทริปนี้ คือเป็นทริปฉุกละหุก แต่มันก็รอด รู้แค่มีนาอยากเดินทาง แต่ค้นหาอยู่นานก็ไม่เจอที่หมายถูกใจ จนใกล้จะหมดเดือนอยู่แล้วก็คิดไม่ออก เลยลองไปชวนปาล์มเล่นๆ ปาล์มเป็นเพื่อนที่ชีวิตนี้เคยเจอหน้ากันไม่ถึง 5 วัน บ้านของปาล์มอยู่ติดทะเล แต่ก็ยังจะกล้าชวนคนทะเลไปเที่ยวทะเลอีก เหมือนชวนไว้ประกันตัวเองเฉยๆ ตัวเราเองจะได้ไม่เบี้ยว จนอีกอาทิตย์นึงจะเดินทาง ปาล์มก็ยังงงๆอยู่ว่าทริปนี้จะมีจริงมั้ย ตั๋วก็ยังไม่ซื้อ ที่เที่ยวแบบละเอียดๆก็ไม่ยอมบอก บอกแค่ตามชื่อปกเลยค่ะ มีหาดดำ มีทรายชมพู มีภูเขาไฟ มีตัวเงินตัวทองที่ใหญ่มากกินคนได้ นอกนั้นสิ่งที่บอกคือ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราเลือกที่เที่ยวที่ดีที่สุดให้เอง ไม่ต้องทำอะไรด้วย ขอเลือกเอง จองเอง แค่อยู่เฉยๆและโอนเงินมาพอ แล้วปาล์มก็ตกลง ยังแอบคิดอยู่เลยว่ามันบ้ารึเปล่า เป็นพริมมีคนมาชวนแค่นี้พริมไม่ไปนะ 5555


ทริปนี้มีภารกิจพิเศษคือรีวิวเลนส์ใหม่ของโอลิมปัสด้วย

เลนส์ตัวนี้เหมือนทำออกมาให้คนชอบเที่ยว ชอบถ่ายวิว แบกน้อยแต่ต้องได้เยอะ

พูดเสมอว่ากล้องและเลนส์ที่ดี ขอแค่ต้องทำให้ทริปนั้นสนุกขึ้น

แล้วเลนส์ตัวใหม่ของโอลิมปัส 12-200 คือซูมได้ตั้ง 200 ก็ทำได้สำเร็จด้วย

ชอบ ดูรีวิวหลังจบเรื่องเที่ยวได้เลยค่ะ



พิกัด

🔸flores >> labuan bajo >> komodo island 🔹flores >> ende


ที่เที่ยว

🔸kelor ปีนขึ้นเกาะเขียวอ่อนกับน้ำใสๆ

🔸sarai สวยมากกก หาดสีชมพูเข้มที่นักท่องเที่ยวไม่รู้

🔸pink beach หาดสีชมพูอ่อนที่นักท่องเที่ยวรู้ และมาเยอะด้วย

🔸komodo village หมู่บ้านริมทะเลที่ห่างไกล

🔸padar island เทรคขึ้นเขาดูวิวเกาะที่มี 3 อ่าว 3 สี

🔹blue stone beach หาดหินสีฟ้า

🔹ende black beach หาดทรายสีดำ วิวสวยแบบจูราสสิค

🔹kelimutu ทะเลสาบ 3 สีบนปากปล่องภูเขาไฟ

 

วันแรกที่มาถึงต้องทรานสิทบาหลี ไหนๆมาแล้วเลยแวะเที่ยวดู แต่รู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ วุ่นวาย คนเยอะ รถติด ที่เที่ยวแทบทุกแห่งต้องต่อคิว ราคานักท่องเที่ยวเต็มไปหมด สิ่งเดียวที่ชอบคือระหว่างทางเขียวดี แล้วที่พักก็ถูกแบบเหลือเชื่อ ณ ตอนนี้ จะไม่แนะนำบาหลีให้ใคร


หลังจากเจอการเดินทางแบบบาหลีเข้าไป คือจองรถมินิบัสไปส่งสนามบินรอบเที่ยง หลับไป 60 นาทีคิดว่าใกล้ถึงละ สรุปยังวนอยู่ที่เดิม เพิ่งรู้ว่ามินิบัสเค้าจะขับวนในเมืองไปเรื่อยๆจนกว่าสิบกว่าที่นั่งในรถจะเต็ม คนในรถเริ่มโวยเค้าเลยเหยียบมิด พริมถึงสนามบินตอนอีก 20 นาทีเครื่องจะออก วิ่งแบบไม่คิดชีวิต แม้เคาน์เตอร์เชคอินจะปิดไปนานแล้ว หน้าตาแดงเพราะกระหืดกระหอบมาไกล เหงื่อท่วมหน้า ปากสั่นเพราะความเหนื่อย อ้อนวอนอยู่หน้าเคาน์เตอร์แทบไม่เป็นคำ เค้าโทรไปคุยกับเจ้าหน้าที่หลายๆจุด จนใจดียอมให้วิ่งไปขึ้นเครื่อง มีเจ้าหน้าที่คอยรอรับเต็มไปหมด

เครื่องบินใบพัดทะยานสั่นๆไปซักพัก วิวสวยก็ปรากฏ ด้วยความที่ประเทศเต็มไปด้วยเกาะแก่งและแนวปะการัง เลยเห็นสีน้ำทะเลฟ้าๆเขียวๆตลอดเวลา นั่งติดหน้าต่างไว้ ถ่ายรูปเพลินไปเลยค่ะ


ที่ต้องบินจากบาหลีมาที่เมือง ลาบวนบาโจ labuan bajo บนเกาะฟลอเรส flores เพราะเมืองนี้เป็นจุดขึ้นเรือไปยังเป้าหมายหลักของทริปค่ะ นั่นคือหมู่เกาะโคโมโด komodo island ชื่อโคโมโดก็มาจากบนเกาะเป็นถิ่นกำเนิดของเจ้ามังกรโคโมโด มีอยู่แค่ที่นี่ เพราะมันเป็นเกาะ มังกรโคโมโดเลยแพร่ไปถิ่นอื่นไม่ได้ เด็กๆอาจเรียกว่าเป็นไดโนเสาร์ที่ยังหลงเหลือในโลกปัจจุบัน คนไทยอาจเรียกมันในนามตัวเงินตัวทอง แต่โคโมโดมีขนาดใหญ่กว่ามาก ยืนขึ้นมาคือสูงกว่าคน มันสามารถได้กลิ่นเลือดจากเหยื่อที่อยู่ไกลออกไปถึงได้ 5 โล วิ่งไล่กินคน กินควาย กินแพะได้สบายๆ แม้แต่ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงนั้นของเดือนก็ยังอันตรายถ้าจะไปเที่ยวเกาะนี้ ไม่ได้ขู่นะคะ เรื่องจริง ไกด์เตือนมาเลย

จริงๆพริมคุยกับบริษัททัวร์หลายเจ้ามาล่วงหน้า แต่พอมาถึงเมืองลาบวนบาโจจริงๆ มีบริษัททัวร์เปิดร้านอยู่เยอะมาก เรียกว่าสลับกับร้านอาหารไปตลอด 2 ข้างทาง โชคดีที่ข้างโฮสเทลเป็นศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยว เลยแวะเข้าไปคุยก่อน แต่ศูนย์นักท่องเที่ยวพูดอังกฤษไม่ได้ เค้าเลยไปตามคนจากร้านข้างๆมาช่วยคุยแทน พริมแวะเวียนเข้าออกที่นี่ 3-4 รอบ ยังไงข้อมูลในเนทที่หามาก็สู้ข้อมูลจากคนที่นี่ไม่ได้หรอก หมู่เกาะโคโมโดมีที่เที่ยวเป็นสิบๆ พริมเลือกออกมาแค่ที่ชอบจริงๆไม่กี่ที่ ให้เที่ยววันเดียวก็หมดแล้ว แต่เพราะอยากเห็นแต่ละที่ในช่วงวันที่สวยที่สุด เค้าเลยแนะนำว่างั้นแบ่งเที่ยว 2 วันดีกว่า ฝนที่นี่จะตกแค่ช่วงบ่าย เช้าๆแดดแรงวิวสวยแน่นอน


หลังได้ข้อมูลและราคากลางมาแล้ว ก็ออกลุยเดินคุยไปทีละเจ้า สอบถามราคา ต่อราคาไปตามเรื่อง จริงๆนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เค้าจะไปเป็นทัวร์ มีเรือทัวร์ออกทุกวัน เลือกได้เลยจะไปทัวร์แบบกี่วัน แต่เนื่องจากที่เที่ยวที่พริมอยากไปไม่ตรงกับเจ้าไหนเลย เพราะไม่ยอมดำน้ำ ไม่ยอมไปดูมังกรโคโมโด จึงตัดสินใจแบบป๋าๆเหมาเรือเที่ยวเลยละกัน ความไม่ชอบร้อนทำให้เลือกเรือแอร์เท่านั้นด้วย


จนในที่สุดเดินผ่านเจ้านึงที่พนักงานเชิญชวนเข้าไปนั่งคุย ภายในเก่าๆ มืดๆ และเหม็นอับ แต่เป็นร้านที่พนักงานตัวเล็กๆเยอะมาก มารู้ทีหลังว่าทั้งหมดเป็นเด็กมัธยมมาฝึกงานค่ะ เด็กๆเรียนสาขา english tourism ดีจัง บ้านตัวเองมีที่เที่ยวสวยๆ ก็มีการเรียนด้านนี้กันตั้งแต่มัธยม กลับมาที่ร้านทึมๆกันต่อ พริมเอาแผนเที่ยวและราคา 6 ล้านที่ตั้งไว้ในใจมาบอกเค้าเลย คุยจนลุงยอมลดให้จาก 7.5 ล้าน เทคนิคคือทำเมินๆพร้อมไปตลอดเวลา ชั้นมีร้านในใจแล้ว แค่อยากมาดูๆว่ามีร้านไหนดีกว่ามั้ย ลุงคงรู้สึกยอมไม่ได้ ขอตัดหน้าร้านในใจเธอหน่อย พอตกลงกันได้ก็วางมัดจำด้วยเงินสดทั้งหมดที่มีในกระเป๋า ล้านกว่าๆ รวยไปอีก พอรู้ว่าบนเรือมีลูกเรือชายล้วนถึง 3 คน เลยหันไปชวนเด็กผู้หญิงในร้านลุงให้ไปด้วยกันทันที


หลังกลับที่พักเลยลองหาข้อมูลบริษัททัวร์เจ้าที่จองไว้ซะหน่อย

มือถือแทบล่วง! ภาพลุงยิ้มแย้มที่เจอวันนี้ ในเนทกลายร่างเป็นลุงที่ง้างอิฐเตรียมขว้างลูกค้า และมีรูปหน้าตาถมึงทึงอีกเต็มไปหมด เรตติ้งก็ได้ไป 1.7 จากคนรีวิวกว่าสิบคนในกูเกิ้ล ส่วนใน tripadvisor ก็ 2 ดาว ต่ำอะไรขนาดนั้น จองอะไรไปเนี่ย

เอารูปที่ถ่ายจากบนเรือมาอวดก่อน

พริมเดินกลับไปร้านลุงใหม่ ขอดูรูปเรือให้สบายใจหน่อย ปรากฏลุงปิดร้านกลับไปแล้ว น้องคนที่เราชวนไปด้วยกันพรุ่งนี้ก็กำลังจะกลับ คุยไปคุยมา น้องบอกวันมะรืนเจอกัน แย่ละ ไปพรุ่งนี้ค่ะน้อง น้องก็ยังยืนยันว่าลุงบอสไม่ได้พูดถึงพรุ่งนี้เลย แอบได้ยินลุงคุยนัดแนะกับเรือว่าวันมะรืนด้วยนะ แหม ความน่าเชื่อถือเหมาะสมกับ 2 ดาวจริงๆ ปาล์มบอกทิ้งมัดจำเปลี่ยนเจ้าเถอะ แต่พริมแอบเชื่อความรู้สึกตัวเองนะ ลุงเป็นร้านเดียวที่ยิ้มแย้มและหยุดฟังทุกครั้งที่พริมพูด ไม่พูดแทรกไม่ค้านแผนเที่ยวเราเลย เลยพยายามบอกปาล์มว่าพวกเราอาจเป็นคนแรกก็ได้ที่ให้ลุง 5 ดาว โลกสวยขนาดไม่เชื่อรีวิวจาก 20 คนในเนท 555 ดีว่าเราตกลงกันตั้งแต่ก่อนออกเดินทางแล้วว่าปาล์มจะยกการตัดสินใจทุกอย่างในทริปให้พริมจัดการ

สรุปทริปเดินเรือครั้งนี้ จะแวะ

Kelor - Sarai - Pink Beach - Komodo Village - Padar

จริงๆมี Gili Lawa ที่อยากไป แต่มันเพิ่งเจอไฟป่าเผาไป แถมคลื่นลมในช่วงปลายมรสุมยังทำให้เรือทุกลำไม่สามารถพาไปเที่ยวได้ ส่วนตัวมังกรโคโดโมที่เล่าให้ฟัง จะสำรองไว้เผื่อมีเวลา




 


Kelor


เช้านี้ฝนตก พยายามปลอบตัวเองว่าเดี๋ยวแดดก็มา แต่ก็ยังตกซ้ำๆ พวกเราลากกระเป๋าไปหาลุงตามเวลานัด ลุงก็เพิ่งมาเหมือนกัน โดยที่ไม่มีน้องผู้หญิงที่พริมจองตัวไว้ ลุงบอกจ่ายที่เหลือมาได้เลย จ่ายเสร็จเดี๋ยวจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามน้องให้ถึงบ้านเอง โห ลุงมีต่อรอง ไม่รู้เลยใช่มั้ยเนี่ยว่าร้านตัวเองคือ 1.7

แต่ก็จ่ายๆไป ลุงคว้าเงินเข้ากระเป๋าแล้วขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปทันที ปล่อยให้พริมนั่งเฝ้าร้านแทนเฉยเลย ผ่านไปนานจนคุยกับปาล์มว่านี่โดนชิ่งใช่มั้ยเนี่ย แต่แล้วน้องก็มา หน้าเพิ่งตื่นสุดๆ 5 ดาวที่พริมเตรียมไว้เริ่มเลือนๆ

กว่าจะเดินไปถึงท่าเรือก็สายมากแล้ว ฝนหยุดตกแต่ฟ้าก็ยังไม่ใส มีเรือจอดอยู่เป็นร้อยลำ แต่เรือของเราโดดเด่นที่สุดด้วยสีเขียวมิ้นเหมือนเพิ่งทาสดๆเมื่อวาน มีลูกเรือ 2 คนและกัปตันมารอพร้อม แต่ละคนอายุไม่น่าถึง 20 เด็กๆกันทั้งนั้น คล่องแคล่วว่องไวดี ขนาดถอนสมอเรือไม่ออก ลูกเรือก็โดดน้ำลงไปแก้ไขอย่างรวดเร็ว หันมายิ้มให้กล้องด้วย รู้งาน

นั่งเรือมาชั่วโมงกว่าก็ถึงจุดหมายแรก เกาะเคลอร์ Kelor เรือมิ้นจอดได้แค่ห่างๆ ถ้าเข้าไปเทียบหาดจะทำให้ปะการังใต้น้ำเสียหาย เลยต้องเปลี่ยนเป็นเรือเล็กท้องแบนเข้าไปเทียบแทน คนส่วนใหญ่แวะเกาะนี้เพื่อดำน้ำ แต่บอกแล้วทริปนี้มาเพื่อเก็บวิวสวยๆและถ่ายรูป เลยจะขึ้นภูเขาลูกไม่สูงมากตรงหน้าไปถ่ายวิวจากข้างบน เห็นลูกแค่นี้ กว่าจะขึ้นได้ก็หอบนะคะ ทางค่อนข้างชัน ต้องใช้มือช่วยปีน ดินที่เหยียบก็ค่อนข้างร่วน บางทีสไลด์ลงมา

ความแปลกตาของวิวที่นี่คือเกาะจะเป็นสีเขียวอ่อน ผิดกับบ้านเราที่จะเป็นสีเขียวเข้ม เพราะเกาะที่นี่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยหญ้า มีนาคมเป็นช่วงปลายฝน ทุกเกาะเลยเป็นสีเขียวอ่อนๆ ยอดหญ้าพลิ้วตามลมสวยดี ถ้ามาหน้าร้อนหญ้าจะแห้งเป็นสีน้ำตาลไปทั่วทั้งทะเล

ถ่ายวิวเกาะฝั่งตรงข้ามในช่วงเช้าแบบนี้จะย้อนแสง ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้มาบ่ายดีกว่าค่ะ เย็นๆพระอาทิตย์ตกก็น่าจะสวยอยู่ พอกลับขึ้นเรือมิ้น ลูกเรือหนุ่มทั้ง 2 ห็ช่วยกันทำอาหารเที่ยงจานใหญ่รอไว้เต็มโต๊ะ เยอะจนคิดว่าลูกเรือและกัปตันคงมากินด้วย แต่เปล่าเลย แค่พริมกับเพื่อนเท่านั้น มีทั้งผัดผักบุ้ง มันฝรั่งชุบแป้งทอด ปลาทอดผัดเปรี้ยวหวาน เต้าหู้ผัดเปรี้ยวหวาน แตงโม และข้าวเป็นกระติก เยอะกว่าที่คิดไว้ถึง 4 เท่า




 


Sarai

กินแตงโมนั่งดูเกาะน้อยใหญ่เคลื่อนผ่านตา หาดทรายหลายๆเกาะเป็นสีชมพู นึกว่าถึงแล้วตลอดเลย พอถาม อันเจล น้องไกด์ของเราก็บอกว่าต้องไปอีก 2-3 ชั่วโมงถึงจะใช่จุดหมาย


ถึงจะมีหาดสีชมพูมากมาย แต่ก็ไม่ใช่หาดที่เล็งไว้ หาดที่พริมบอกกัปตันไปชื่อว่า ซารัย Sarai

ได้มาจากคำแนะนำของคนในเมืองค่ะ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหาดชมพูที่ซารัย ชมพูสวยกว่าที่ Pink beach เยอะ ถึงพิงค์บีชจะแปลตรงตัวว่าชมพู แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชมพูแล้ว นักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย บางคนว่าไม่ชมพูเพราะมีคนเก็บทรายแดงๆไปเยอะ

จากที่เห็นเกาะไหนก็ชมพู แต่เมื่อเรือแล่นเข้าใกล้ซารัยของจริง โอ้โห มันชมพูโดดเด้งสุดๆ เจอซารัยเข้าไป ที่ผ่านๆตามาก็กลายเป็นแค่ทรายซีดๆไปเลย พริมรีบคว้ากล้องลงเรือเล็ก รอบนี้ใช้ลูกเรือถึง 2 คนเพราะเค้าบอกคลื่นลมแรง หน้าชายหาดไม่มีเรือลำอื่นขวางอยู่ ดีใจ หมายความว่าพริมจะได้เป็นนักท่องเที่ยวหนึ่งเดียวบนเกาะ ลูกเรือและน้องอันเจลบอกให้พวกเราเลิกถ่ายรูปได้แล้ว เพราะตอนเรือขึ้นเทียบหาด คลื่นจะซัดแรงมาก ต้องระวังดีๆ แต่มันสวยจนไม่อยากหยุด ผลก็คือเปียกกันไปครึ่งตัว

ทรายที่ไกลๆมองว่าชมพู พอขึ้นมายืนบนหาด ก้มลงไปมองทรายชัดๆ แท้จริงแล้วมันก็คือจุดแดงๆจากซากปะการังที่ปนมากับทรายเม็ดขาว คล้ายพริกกะเกลือเลย วิวตรงนี้สวยจริงๆ ถึงทริปนี้จะมีสถานที่สวยๆมากมาย แต่ถ้าให้เลือกที่ชอบที่สุด พริมเลือกหาดสีชมพูที่ซารัยค่ะ มันเกิดความคาดหมาย คิดมาตลอดว่าหาดชมพูมันคงซีดๆ รูปที่เห็นในเนทถึงได้ดึงสีกันจนชมพูยันท้องฟ้า บางรูปชายหาดกลายเป็นสีชมพูสะท้อนแสงไปแล้ว แต่ของจริงที่เห็นมันชมพูนวลๆ สบายตา น่ารักดี

มีนาคมไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่น ยังคงเป็นปลายฤดูมรสุมที่ฝนตกเรื่อยๆ แต่ถูกใจมากเลย เพราะพริมชอบถ่ายรูปท้องฟ้าที่เมฆแน่นๆเหมือนพายุจะมาแบบนี้ แล้วพายุก็มาจริงๆ พวกเรารีบวิ่งไปหลบฝนใต้ต้นไม้ทึบ ทะเลสีฟ้าสดและทรายชมพูจางลงเป็นพาสเทลเพราะม่านฝน ซ่อนตัวใต้ต้นไม้อยู่นานกว่าเรือเล็กจะขับมารับ ลูกเรือรีบถือถุงพลาสติกวิ่งมาหา พริมก็นึกว่าจะแจกถุงให้คลุมหัว เปล่า เค้าบอกให้ใส่กล้องลงไปด่วน พริมเป็นโรคชอบดม เลยหยิบถุงเค้าขึ้นมาดมก่อน เหม็นหึ่ง!

จึงคิดว่าจะเอากล้องตากฝนนี่แหละ จะได้ถ่ายรูปไปด้วย ดีกว่ากล้องเหม็น กล้องที่เอามาใช้ในทริปนี้คือ olympus omd em5 mark2 ซึ่งกันฝนได้อยู่แล้วเพราะ weatherproof ส่วนเลนส์ใหม่ 12-200 ที่โอลิมปัสใจดีให้ยืมใช้ก็ weatherproof เช่นกัน เป็นเลนส์ที่เหมาะกับสายเที่ยวธรรมชาติมากเลย กว่าจะขึ้นเรือใหญ่ได้ ก็เปียกโชกไปทั้งตัว ลูกเรือถือจานกล้วยทอดร้อนๆราดซอสชอคโกแลตมาให้กิน ปลอบใจที่มีเวลาให้อยู่เที่ยวแป๊บเดียว พริมเลยสบโอกาสรีบขอกัปตันว่าพรุ่งนี้ช่วยแวะอีกนะ น้องเด็กอันเจลเก็บปะการังสีขาวชิ้นใหญ่ติดมือมาด้วย ได้หรอเนี่ย


 


ตัดมาวันรุ่งขึ้นเลย จะได้ดูภาพหาดชมพูซารัยกันแบบต่อเนื่อง

วันนี้แดดแรงเปรี้ยงแต่ท้องฟ้ายังเมฆแน่นถูกใจเช่นเดิม เหมือนพายุจะมา แต่ก็มาไม่ทันเราแน่นอน

น้ำทะเลที่เมื่อวานว่าฟ้า วันนี้ทั้งฟ้าทั้งใสยิ่งกว่า สีเหมือนแอลกอฮอล์ หาดชมพูเมื่อเจอแดดก็สดใสขึ้นมาก และบนเกาะก็ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นเช่นเคย ได้เกาะส่วนตัวมาอีกวัน

ยิ่งเรือเล็กใกล้เข้าไปเรื่อยๆ สีก็ยังสดใสบาดตา แม้แต่เขาหินที่อยู่ข้างๆก็ยังเป็นสีเหลืองเข้ม พริมไม่ได้ดำน้ำแต่ก็มั่นใจว่าปะการังข้างใต้ต้องสวยสมบูรณ์มากแน่ๆ สีแดงๆน่าจะเยอะ ถึงหลุดลอดขึ้นมาจนหาดชมพูขนาดนี้ ขอสาดรูปให้ดูรัวๆไปเลยนะคะ




 


Pink Beach

กลับมาที่บ่ายวันฝนตก หลังจากออกจากซารัย ฝนที่ตกหนักก็หยุดไปดื้อๆ ใช้เวลาหลายชั่วโมงก็มาหาดสีชมพูชื่อดังที่ทุกคนเรียกกันว่า Pink beach จากที่เห็นซารัยมาแล้ว มองอย่างไรพิงค์บีชก็ไม่ชมพู รอบๆหาดมีเรือเล็กญ่จอดกันเต็ม นักท่องเที่ยวฝรั่งก็เต็ม ถึงกับมีท่าเทียบเรือ แต่เรือมิ้นของพริมแปลกตลอด ชอบจอดกลางทะเลไกล ไม่เคยเทียบท่ากับใครเค้า

ที่อยากมาพิงค์บีชไม่ใช่เพราะอยากเห็นหาดชมพู แต่เพราะวิวบนเกาะนี้สวยดีค่ะ สามารถเทรคสั้นไปดูวิวเวิ้งหาดได้จากทั้ง 2 ฝั่ง แดดยามบ่ายจัดกำลังเป็นสีเหลือง หมวกที่เปียกโชกมาจากฝนก่อนทำให้รอบนี้ไม่ได้หยิบไปด้วย


ไกด์เด็กของเราเอาเสื้อแจ๊คเกทสีแดงมาผูกเอว พริมหันไปเห็นก็รู้สึกคุ้นๆ น้องเหมือนโมอาน่าในการ์ตูนดิสนี่ย์มากเลย ตัวเล็กๆป้อมๆ สีผิวก็ได้แบบลูกทะเล ผมดำหยิกฟูเหมือนกัน แถมมีชุดแดงๆเหมือนกันด้วย

โมอาน่าเดินนำขึ้นเขาไปก่อน จริงๆก็ไม่เรียกว่าเดิน แต่ใช้วิธีกระโดดที่ละ 2-3 ก้าวเป็นจังหวะ ขึ้นปรู๊ดมาก ถือขวดน้ำมา 2 ขวดด้วย ตอนแรกนึกว่าถือมาให้พริมกับปาล์ม แต่ก็ไม่เห็นให้เลย หรือมันจะเป็นเทคนิคทรงตัวตอนวิ่งกระโดดๆขึ้นเขา แปลกดี ถึงบางช่วงจะชันหน่อยแต่ก็ยังเดินง่าย เป็นทางกรวดดินตัดผ่านภูเขาหญ้า ไม่ต้องปีนเหมือนที่เคลอร์ แดดร้อนจนรู้สึกแสบผิว

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เล่นน้ำพักผ่อนกันอยู่บนหาด มีแค่ไม่กี่คนที่เดินขึ้นเขามา จากบนนี้พริมสนุกกับการใช้เลนส์ซูม 200มม เจาะลงไปที่ชายหาดมาก คนตัวเล็กๆเดินกันกระจัดกระจาย น่ารักดี ได้รูปออกมาคล้ายกับว่ามีโดรน

ถ่ายรูปพอใจก็ย้ายไปขึ้นเนินจากอีกฝั่งของหาดบ้าง

แล้วก็เดินไปดูท่าเรือที่ไม่มีเรือของเรา เด็กๆท้องถิ่นแอบมาเล่นน้ำกันมุมนี้นี่เอง หน้าหาดทรายชมพูถึงมีแต่ต่างชาติ น้ำตรงนี้ค่อนข้างตื้นแต่ใสแจ๋ว มองเห็นทั้งปะการังหลายสี ปลาหลายชนิด มีปลาเทวดา และดอรี่ในนีโม่ด้วย ปลานกแก้วสีม่วงเขียวว่ายกันเต็ม

พริมบอกน้องไกด์ว่าคนไทยกินปลานกแก้วนั่นด้วยนะ เค้าตกใจมาก บอกคนที่นี่ไม่มีใครกินเลย ถึงว่า ว่ายกันเต็มเลยค่ะ ขึ้นมาใกล้ฝั่งมากด้วย บางตัวถึงกับต้องตะแคงตัวว่าย บ้านเราพริมว่าพริมไม่เห็นปลานกแก้วบริเวณใกล้ฝั่งนานแล้วนะ ตอนนี้ที่ไทยเห็นรณรงค์ให้ช่วยกันไม่ขาย ไม่ซื้อกินปลานกแก้วด้วย เพราะมีประโยชน์กับอาณาจักรปะการังใต้ทะเลมาก




 


Komodo Village

กัปตันบอกว่าคืนนี้จะทอดสมอที่หมู่บ้านโคโมโด เพราะทะเลบริเวณนั้นเรียบ ไม่มีคลื่น แดดสีทองและส่องลอดเมฆลงไปยังหมู่บ้าน แสงเป็นลำสวยดี แต่เมฆหนาจนมั่นใจว่าฝนคงจะตกมาใหม่ไม่ช้า พริมขอให้อันเจลพาขึ้นไปเที่ยวหมู่บ้านริมทะเลหน่อย ต้องจ่ายเงินให้คนดูแลด้วยนะ เพราะเค้าจะพาเดินดู แล้วคุณจะถ่ายรูปอะไร ถ่ายใครก้ได้เลย อารมณ์เหมือนจ่ายค่าคุ้มครอง

หมู่บ้านโคโมโดเป็นเพียงเวิ้งเดียวของเกาะโคโมโด เกาะใหญ่ที่เป็นถิ่นของมังกรที่บอก บ้านเรือนเล็กๆหลายสีตั้งเรียงกันริมทะเล ฉากหลังเป็นภูเขา

แล้วฝนก็ตกลงมาจริงๆ ผู้คุ้มครองพาพวกเราไปหลบฝนใต้ถุนบ้านคนแถวนั้น พริมเพิ่งเห็นว่าแขนตัวเองแดงแปร๊ด น่ากลัว พริมคิดว่าคงแพ้อาหาร แต่ปาล์มบอกว่าแขนยังธรรมดา หน้าคือแดงกว่าเยอะ พอส่องมือถือดูคือตกใจจนขนลุก มันแดงเหมือนกุ้งต้ม เหมือนมะเขือเทศสีดา แต่ขาวแค่รอบๆดวงตา พอเอามือไปจับๆดูก็ร้อและแสบไปหมด เลยเพิ่งสำนึกว่านนี่สินะ ผิวไหม้แดด ไม่น่าเชื่อเลยว่าแค่ลืมทาครีมกันแดดแล้วเดินขึ้นเขาแค่ 2 ชั่วโมงจะเล่นเราแสบขนาดนี้

ฉากเดียวกันแต่ซูมถ่ายที่ 200mm

รูปบนและรูปล่างของบรรทัดนี้ พริมถ่ายจากมุมเดียวกันเลยค่ะ รูปบน 200มม ซูมเจาะจนเห็นผู้หญิงขนของขึ้นจากเรือ รูปล่างถ่ายที่ 12มม เลยเห็นภาพกว้างๆหน้าหมู่บ้าน

ฉากเดียวกันแต่ถ่ายที่ 12mm

รอจนฝนปรอยเลยออกไปเดินสำรวจหมู่บ้านต่อ ชุมชนดูเล็กๆแต่เค้าบอกมีคนอยู่กันเป็นล้าน พอเดินไปถึงชายหาดซึ่งทรายเป็นสีดำ ก็เชื่อจริงๆว่าหมู่บ้านนี้ต้องมีคนอยู่เยอะมากแน่ๆ เพราะขยะบนหาดเยอะมากๆ มีแพะเดินเล่นอยู่ริมหาดก็กำลังคุ้ยขยะกิน ถึงขยะจะเยอะ แต่ความสวยยังฉายชัดในเวลาที่น้ำลง เพราะมองเห็นทางน้ำเป็นริ้วขาวๆบนหาดทรายดำ สวยประหลาด

รู้สึกเหมือนนี่คือฉากในการ์ตูนดิสนีย์ น้องจากมีไกด์โมอาน่า เด็กสาวจากท้องทะเลตัวเอกของเรื่องเดินนำแล้ว ยังมีสะพานไม้ที่ยาวเลียบชายหาด ฝั่งนึงเป็นหมู่บ้านสีๆ อีกฝั่งที่พ้นทะเลไปเต็มไปด้วยภูเขาสีเขียวอ่อนๆที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเพราะแดดสุดท้ายของวัน

กลับขึ้นเรือมิ้นมาได้ ก็นั่งชื่นชมวันนี้กันไม่ขาดปาก แค่วันเดียววิวสวยๆเต็มไปหมด จนรู้สึกว่าถ้าหากวันที่เหลือจะพังก็ไม่เป็นไรเลย วันนี้มันดีมากแล้วจริงๆลมหลังพระอาทิตย์ตกพัดมาเย็นสบาย แต่ละคนทยอยกันไปอาบน้ำ เหลือพริมคนสุดท้าย แต่อยู่ๆน้ำบนเรือก็หมด ทั้งปาล์ม ลูกเรือ ไกด์เด็ก และกัปตันล้วนได้อาบ ยกเว้นพริม ไม่ได้อาบน้ำจืด แต่ทั้งวันคืออาบมาหมดทั้งเหงื่อและน้ำทะเล สงสารร่างกายตัวเองเหลือเกิน น้ำแปรงฟันก็ไม่มี ต้องแปรงในขวด ยังดีได้นอนในห้องแอร์ ไม่เหนียวตัวไปมากกว่านี้




 


Padar Island

คนไม่อาบน้ำหลับสบายยันเช้า จนแอร์ในห้องถูกตัดไปเพราะเรือเริ่มแล่นพาไปเที่ยวอีกครั้ง

จุดหมายหลักของวันนี้คือการเทรคขึ้นยอดเขาบนเกาะชื่อพาดาร์ Padar

ที่นี่มีเรือท่องเที่ยวจอดกันเต็ม น่าจะฮิตที่สุด เด็ดที่สุดในหมู่เกาะละแวกนี้แล้ว

พริมเองก็ตั้งใจเก็บพาดาร์ไว้เพื่อตอนเช้าที่จะไม่มีฝนเท่านั้น จุดกำเนิดของทริปนี้เริ่มจากที่เห็นรูปพาดาร์นี่แหละค่ะ แล้วจึงค่อยๆค้นที่เที่ยวอื่นเพิ่มขึ้นมา

เนื่องจากเป็นเกาะใหญ่และนักท่องเที่ยวเยอะ จึงมีสะพานท่าเรือด้วย เรือเราไปลอยเติ่งกลางทะเลไม่ยอมจอดเหมือนใครอีกแล้ว ทางเดินนั้นขึ้นง่ายมาก เพราะทำเป็นขั้นบันได เพียงแต่มันสูงหน่อย เลยใช้เวลาเดินเกือบชั่วโมง วันนี้ตัวแดงกว่าเดิมอีก เลยพอกครีมกันแดดมาเต็มที่

วิวสวยในทุกขั้นที่ก้าวขึ้นไปจริงๆค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณเลนส์ซูม 12-200 ของโอลิมปัสอีกกี่รอบดี ปกติใช้เลนส์คิทและฟิกซ์ รูปก็จะคล้ายตามองเห็น พอมาซูมได้ลึกๆแบบนี้ นอกจากเจาะหาดได้ชัดๆแล้ว ยังแอบถ่ายคนไกลๆได้ด้วย เห็นแม้กระทั่งลุงป้านั่งกินวิวเคล้าอาหารอยู่ที่เนินเขาลูกถัดไป

มีเลนส์เลเลซูมก็เหมือนมีกล้องส่องทางไกล

ข้างทางเป็นหญ้าที่ยังคนกระเพื่อมตามลม แต่ที่ต่างคือเกาะพาดาร์มีดอกไม้สีเหลืองขึ้นแซมด้วย บนยอดเขานี้เราสามารถเห็นอ่าวพร้อมกันได้ทั้ง 3 อ่าว มันเว้าแหว่งจนทำให้รูปร่างของเกาะพาดาร์สวยแปลกตา เวิ้งที่เดินขึ้นมามีชายหาดเป็นทรายสีเหลืองนวล แต่อีกหาดพริมเห็นเป็นทรายชมพู และอีกหาดเป็นกรวดเทาๆ


ถ่ายพาดาร์จนพอใจ ก็นั่งเรือกลับไปซ้ำหาดชมพูที่ซารัยตามที่กัปตันสัญญาไว้ และอย่างที่พริมลงรูปเพิ่มให้ดูไปแล้ว ก่อนจะนั่งเรือกลับขึ้นฝั่ง ผ่านไปหลายชั่วโมง คลื่นเปลี่ยนแปรไปเรื่อยๆ ทั้งสั้นเป็นหย่อมๆ เป็นแผ่นน้ำเรียบเหมือนมีอะไรข้างใต้ พริมชวนปาล์มดูแล้วขู่ตลอดเวลาว่านี่คือคลื่นใต้น้ำ คลื่นชีวิต วังน้ำวน สามารถสูบเรือเราได้เลยนะ เพื่อนที่พื้นเพเป็นคนตราดบ้านติดทะเล ทำท่าว่าจะกลัวจริง แต่มันก็น่ากลัวจริงๆนั่นแหละ กัปตันยังเลี้ยวหลบ

และแล้วเรือก็ดับกลางทะเล

น้องไกด์พยายามเอาตัวบัง ทั้งๆที่เค้าก็สูงแค่ไหล่พริมเท่านั้น อันเจลบอกอย่ากังวล เรือดี กัปตันแค่อยากจอดพักเฉยๆ ไม่มีอะไรเล้ยยย แบมือยักไหล่ให้ด้วย โอโห พี่ให้เวลาน้องไปคิดข้ออ้างมาใหม่เดี๋ยวนี้ 555 ใครจะบ้าเบื่อๆก็จอดพักกลางมหาสมุทรให้คลื่นมันซัดเล่น พยายามรีดเอาคำตอบเต็มที่ น้ำมันหมดหรอ เครื่องยนต์เสียหรอ ไม่ทันได้เฉลย ลูกเรือผู้คล่องตัวสมวัยก็โดดน้ำลงไปดูใต้เรือทันที น้องไกด์ยังสู้ปกปิดต่อไป คงกลัวว่าพวกเราจะกังวล หารู้ใหม่ว่านี่รู้สึกตื่นเต้นสนุกมาก ถ่ายคลิปใหญ่เลย ถ่ายไปถ่ายมา คลื่นซัดเรือโคลง ถลาเกือบตกน้ำ ดีว่าคว้าเสาทัน กาบหัวเรือสูงประมาณครึ่งแข้งค่ะ เลยตกน้ำได้ง่าย

ขึ้นฝั่งได้ พวกเราก็รีบซื้ออาฟเตอร์ซันมาพอกผิวที่แดงๆทันที แถมเอาทิชชู่ชุบน้ำไปแช่ในตู้เย็นโฮสเทลเตรียมไว้โปะหน้าด้วย ทั้งหน้าและแขนแดงร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนวันต่อมามันเหมือนจะถึงจุดเดือด ไข้ขึ้นจนต้องกินยา แล้ววันต่อๆมามันก็เริ่มลอกเป็นขุยๆ เริ่มจากแก้ม จมูก และแขนที่ลอกเป็นแผ่น จะเดินไปไหนก็อายนิดๆ เหมือนเป็นโรค น่ากลัวจัง


ลืมบอก สรุปพริมให้เจ้านี้ 4.5 นะคะ ทุบคะแนน 1.7 ที่เค้าได้มายาวนานหลายปี 

ดีใจที่เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ให้โอกาสคนแบบสวยๆ




 


Ende

จากลาบวนบาโจทางซ้ายสุดของเกาะฟลอเรส จริงๆสามารถนั่งรถมาที่เมืองเอนเดะ Ende ได้ แต่ก็สิบกว่าชั่วโมง พริมเลยเลือกบินชั่วโมงเดียวพอ ที่นี่ตรวจกันเบาๆใสๆ น้ำเต็มขวดก็ผ่านเข้ามาได้ค่ะ แท๊กซี่ตามสนามบินที่อินโดนี่ดักกันหน้ากลัวมาก รุมเหมือนนักท่องเที่ยวเป็นดารา เดินหนีออกมาแล้วยังตามกันเป็นพรวน เลยเดินยาวๆเข้าเมืองเองเลย


ร้านค้าข้างทางเห็นเราเดินงงๆเลยเข้ามาช่วย พูดอังกฤษไม่ได้ แต่เค้าก็เรียกเบโม่ bemoในราคาชาวบ้านให้พริมได้อยู่ ประทับใจทุกครั้งเวลาได้น้ำใจจากคนแปลกหน้าที่แม้แต่ภาษายังไม่เข้าใจกัน ตอนที่หาเบโม่ไม่ได้ เค้าจะขี่มอไซไปส่งให้ฟรีเลยด้วยซ้ำ เบโม่คือรถตู้ที่ดัดแปลงไว้รับส่งคล้ายๆสองแถวบ้านเรา แต่งสีแต่งไฟภายในรถให้แว๊นๆ เปิดเพลงดังจนใจเต้นตาม และห้อยตุ๊กตากันเต็มคันรถ

ที่พักในเมืองนี้มีไม่มาก โฮสเทลมีอยู่ที่เดียวและเป็นที่พักคะแนนสูงสุดในเมือง สภาพพอไหว อย่างน้อยก็ผ้าปูที่นอนขาว เป็นโรคจิตที่จะเลือกที่พักที่ผ้าปูที่นอนสีขาวเท่านั้นค่ะ 5555 แต่พอตกดึก ซัก 4 ทุ่ม ไฟจะดับอยู่ครึ่งชั่วโมง เป็นแบบนี้ทุกวัน ร้อนระอุกันอยู่ในห้องนั่นแหละ ความเลวร้ายไม่ใช่ไฟดับทุกวัน แต่เป็นห้องนอนเล็กๆขนาด 6 ตารางเมตรที่พนักงานอ้างว่ายุงเยอะเลยฉีดยากันยุงอัดเข้าไป ตอนพริมเปิดเข้าไปใหม่ๆสูดเต็มๆคิดว่าน้ำหอมกลิ่นส้ม พอรู้ความจริงก็แสบจมูกขึ้นมาเฉยๆ ห้องนอนนี้ไม่มีหน้าต่างด้วย พอเสิร์ชกูเกิ้ลดูว่าทำไงดี อ่าว เจอข่าวชายหนุ่มดับคาห้องเพราะฉีดยากันยุงไม่เปิดหน้าต่าง หนทางที่คิดได้คือเปิดๆปิดๆประตูต้อนอากาศให้ออกมาจากห้องค่ะ ทำคนเดียวไม่พอ เรียกปาล์มมาผลัดเวนกันด้วย เปิดๆปิดๆจนประตูแทบหลุดอยู่ครึ่งชั่วโมง จะเปิดทิ้งเลยก็ไม่กล้า ยุงอินโดก็น่ากลัวมาลาเรียอีก ทำไมคืนละ 300 ลำบากขนาดนี้


สำหรับเมืองเอนเดะนี้ พริมตั้งใจมาเที่ยว 3 ที่ค่ะ

คือหาดทรายสีดำ หาดหินสีฟ้า และปากปล่องภูเขาไฟที่มีทะเลสาบ 3 สี





Blue pebbles on Black beach

พริมรู้ว่าแถวเมืองเอนเดะมีหาดทรายสีดำ แต่เสิร์ชไปก็งงๆว่ามันหาดไหนแน่ แต่ละคนบอกไม่เหมือนกัน แต่จะลองไปดูหาดหินฟ้าก่อน เห็นในรูปดูมีหาดทรายดำอยู่ข้างๆด้วย การเดินทางในเมืองเอนเดะไม่ค่อยสะดวกนัก ว่าจะเรียกแท๊กซี่ไปส่งที่หาด แต่ปาล์มเสนอขึ้นมาเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่กันมั้ย มันถูกมากน่ะใช่ แต่พริมถามย้ำๆอยู่หลาบรอบว่าเคยขี่ขึ้นลงเขาเปล่า ขี่เก่งรึเปล่า บอกตรงๆว่าไม่ไว้ใจ ไม่ว่าคนขี่จะเก่งหรือไม่ บอกเลยว่าคนซ้อนซ้อนไม่เก่ง

สุดท้ายก็ไปมอเตอร์ไซค์ พอออกนอกเมืองมาไม่กี่นาที ก็เห็นหาดทรายสีดำทันที รู้ตอนนั้นเลยว่าที่แท้หาดทรายดำมันอยู่ทุกที่ แถวนี้ติดภูเขาไฟ การระเบิดของมันในอดีตเลยทำให้หาดทรายรอบเมืองนี้เป็นสีดำหมด พวกเรารีบโฉบเข้าจอดข้างทาง ลงไปทางรูปกันไม่ยั้ง

คลื่นสูงและแรงจนชายหาดดำๆเต็มไปด้วยฟองสีขาว ขาวข้นเหมือนครีมเลยค่ะ ตัดกันแบบนี้ดูแล้วก็เหมือนภาพขาวดำ พอเดินไปใกล้ๆถึงเห็นชัดว่าคลื่นสูงเลยหัวพริมไปอีก วิ่งเข้าไปถ่ายรูปที ก็ต้องรีบวิ่งหนีออกมา ชายหาดค่อนข้างลาดชัน ทำให้คลื่นสูงเป็นพิเศษ

ทะเลเป็นสีน้ำเงินสดเลยค่ะ มีคนพายเรืออยู่หลังแนวคลื่นด้วย ซูมถ่ายแบบนี้เห็นชัดเลยว่าคลื่นสูงซะจนเหมือนเค้ากำลังพายอยู่บนน้ำตก มันเป็นภาพที่พริมชอบมากเพราะสเกลคนดูเล็กจิ๋วแปลกตาดี เหมือนภาพตัดต่อ

ตอนที่ลุงพยายามจะพายเข้าฝั่ง คนบนฝั่งก็วิ่งลงไปช่วย เพราะเหมือนพายเรือตกลงมาบนพื้นเลยค่ะ คลื่นซัดจนเรือลอยสูงกว่าหัวลุงอีก

พริมใช้เลนส์โอลิมปัส 12-200 ซูมสุดๆแล้วกวาดดูผู้คนรอบหาดที่อยู่ไกลๆ เพราะใกล้ๆเรานี้ไม่มีใครเลย พอส่องออกไปเห็นผู้ชายคนนึงเดินลงทะเล แล้วอยู่ๆเค้าก็คุกเข่าลง นิ่งไปซักพัก ไม่รู้อะไรทำให้พริมคิดไปได้ว่าชายคนนั้นกำลังคุกเข่าเคารพน้ำ เคารพฟ้า บูชาธรรมชาติ คิดเองเออเองแบบนั้นเลยรัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง เพิ่งมารู้ความจริงตอนโหลดรูปขึ้นคอม ที่คุกเข่าอยู่ไม่ใช่บูชาทะเลแต่คือรดน้ำให้ทะเลอยู่

เลนส์โอลิมปัสตัวนี้ซูมน่ากลัว

ผ่านหลายหมู่บ้าน ผ่านดงมะพร้าวมากมาย บางช่วงคลื่นจากทะเลด้านข้างซัดขึ้นมาสูงกว่าถนนอีก เกือบชั่วโมงก็มาถึงร้านอาหารที่เป็นที่ตั้งของหาดหินสีฟ้า บอกแล้วว่าไม่ถนัดซ้อน ผลจากการเกร็งตัวมาร่วมชั่วโมงทำให้ขาแข็ง ลงจากมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ ปวดไปหมด หลังจากสั่งปลาหมึกผัดคล้ายๆพริกเผา ปลาต้มขมิ้น ผัดผักบุ้ง และน้ำมะพร้าวลูกยักษ์คนละลูกมากินเสร็จ ก็ลงไปเดินเล่นที่หาดข้างล่าง อาหารเค็มปี๋เหมือนหลายๆร้านในอินโด ชักสงสัยว่าเค้าใช้น้ำทะเลทำอาหารหรือเปล่า เพราะพอสั่งเสร็จเค้าก็ลงไปตักน้ำทะเลขึ้นมาถังนึง

หินสีฟ้านี่ฟ้าจริงๆค่ะ มันออกไปทางมิ้นๆ มิ้นอีกละ ทริปนี้มีแต่สีมิ้น มันมนๆ กลมๆ มีทั้งชนิดเล็กจิ๋วและใหญ่จนต้องใช้ 2 มือยกเสียดายที่บนหาดเหลือน้อยนิดเดียว ดูเหมือนว่าชาวบ้านจะโกยไปขายกันแทบหมดหาดแล้ว ถึงว่า ตลอดทางที่ผ่านมา เห็นหินสีฟ้ากองขายเต็มพื้น

พริมเห็นหินก้อนนึงสีฟ้าจัดและใหญ่มาก เลยหยิบมันขึ้นมาถ่าย หันไปอีกทีคือคลื่นยักษ์กำลังจะซัดมา ในหัวคิดแต่จะวิ่งหนีไปข้างหน้า ไม่รู้ตัวเลยว่าเท้าจมลงไปในทราย พยายามก้าวต่อไปทั้งขาและเข่าก็ตามลงมา สภาพแบบคลานเข่าหนีน้ำสุดชีวิต มือขวาชูกล้องขึ้นฟ้า มือซ้ายชูหินที่อุ้มมาขึ้นสูง สุดท้ายก็โดนคลื่นซัดไปเต็มๆ แต่กล้องและหินรอด ไม่รู้จะเซฟหินไว้ทำไม ลุกขึ้นมาได้รีบทุ่มหินลงพื้น มองซ้ายขวา รอดไป ตรงที่ยืนอยู่มันเป็นเวิ้งเลยไม่มีคนเห็น ถ้าเห็นคงพิลึกไม่ต่างจากคนคุกเข่าบูชาทะเลเมื่อเช้าเลย

น้ำทะเลบริเวณนี้สีแปลกมาก มีทั้งน้ำเงินสด ฟ้า ยันเขียว




 


Ende Black Beach

ตอนเย็นลองแวะไปชายหาดอีกด้านของเมืองบ้าน พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว ถนนแคบๆถูกหน้าผาสูงกับทะเลดำขนาบ ต้นมะพร้าวขึ้นเรียงเป็นทิวแถว ทางสวยสุดใจ เห็นแล้วนึกถึงฮาวาย ยิ่งพอเห็นทางเข้าหาดที่ต้องแหวกใบปาล์มเข้าไปถึงยังหาดทรายดำ ก็เหมือนหลุดไปอยู่ที่ไอซ์แลนด์ ฮาวาย ไม่ก็โลกจูราสสิคแบบในหนัง ไดโนเสาร์ควรได้เห็น

ถ้าต้นไม้ไม่เป็นสีเขียว ก็น่าเชื่อว่าโลกที่เอนเดะเป็นสีขาวดำจริงๆ

บนหาดมีฝรั่งเดินออกกำลังกายอยู่ 2 คน มีชาวบ้านมาถ่ายรูปเล่นอีก 3 นอกจากนี้แล้วบนหาดที่สวยขนาดนี้ก็ไม่เหลือใครอีก รูปคนพวกนี้เกิดจากการซูม 200mm ทั้งนั้นเลยค่ะ เลยติดคนมาด้วย รู้สึกธรรมชาติดูยิ่งใหญ่ขึ้นเยอะเมื่อมีคนตัวเล็กๆมาประดับ

พริมมั่นใจว่าทั้ง 360 องศาสวยขึ้นกล้องทุกมุม แสงชมพูจากพระอาทิตย์ที่ปลายฟ้าหายลับไปแล้ว ท้องฟ้าตอนนี้เป็นสีออกเทาๆ คลื่นยังคงขาว แต่ทะเลที่ไม่มีแสงดูดำไม่ต่างจากชายหาด ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองกำลังถ่ายรูปสีอยู่จริงๆ




 


Kelimutu Crater Lakes

เคลิมูตู Kelimutu ปากปล่องภูเขาไฟที่กลายเป็นทะเลสาบ 3 หลุม 3 สี ต้องนั่งรถห่างจากเมืองไปชั่วโมงครึ่ง ค่าเดินทางสูงกว่าที่ดูมามาก พวกแท๊กซี่ชอบหลอกว่าวันนี้บัสไม่วิ่ง ตัวเองถูกสุด มันเป็นรถ 7 ที่นั่งที่เอามาขับเป็นแท๊กซี่ แต่แชร์กับคนอื่นได้ พริมถึงที่พักบนเขาตอนก่อนเที่ยง บังกาโลว์ปลูกอยู่ในสวนผัก มีทั้งหมา แมว แพะ เค้ามีรถจอดอยู่หลายคันแต่ไม่มีคนขับ พอพริมอยากจะขึ้นภูเขาไฟที่ห่างไปชั่วโมงกว่า เค้าก็จะโทรเรียกคนในหมู่บ้านมาขับให้ ที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่จะไปภูเขาไฟตอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เดินถึงยอดก็จะได้นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นพอดี แต่พริมเคยเห็นรูปในเนท ถ่ายมาตอนเช้ามันย้อนแสง สีของทะเลสาบจะไม่สดใสเท่าตอนกลางวัน เลยขึ้นตอนเที่ยงที่แดดแรงๆเลย

เมฆ หมอก แดด ฝน ผลัดกันออกมาทุกนาที ในรูปคือเงาเมฆไหลผ่านน้ำ

ขับจากบังกาโลว์มาได้ไม่นาน แดดที่เห็นเมื่อกี๊กลายร่างเป็นเมฆฝนตกลงมาซะแล้ว ไม่รู้บนยอดภูเขาไฟจะยังมองเห็นอะไรบ้างมั้ย จนขึ้นมาถึงข้างบน ฟ้าสว่างอีกครั้ง พริมเลยคว้าแค่กล้องและหมวกเดินเข้าป่าไปทันที ส่วนปาล์มหยิบเสื้อกันฝนมาด้วย

ต้นไม้ข้างทางสวย ทางเดินเรียบเดินง่าย เดินเพลินๆ 15 นาทีก็ถึง 2 ทะเลสาบแรก พอเดินขึ้นไปถึง โอย มันเป็นสีเขียวมิ้นแบบสดแสบตา ไม่คิดว่าในธรรมชาติจะมีสีนี้อยู่จริง สดกว่าทุกรูปที่เคยเห็นมาในอินเตอร์เน็ท บ่อนึงอมฟ้า บ่อนึงอมเขียว ถ่ายไปได้ไม่กี่รูป หมอกขาวก็ไหลลงมาคลุม สวยก็แบบฟ้าเรียบๆเยอะเลยค่ะ ไหลมา แล้วก็หายไป

จะว่าไปแล้วทั้ง 3 ทะเลสาบมีสีที่เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามแร่ธาตุในน้ำ บางครั้งมีสีแดง สีดำด้วย บ่อสุดท้ายต้องเดินต่อไปอีกหน่อย วันนี้บ่อที่ 3 มีสีออกฟ้าเข้มๆอมเขียว เดินต่อไปเรื่อยๆอีก 15 นาทีก็จะถึงยอดสูงสุด ยิ่งเดินสูงขึ้นไปก็เหมือนหลุดเข้าไปในหมอกสีขาว รอจนลมพัดไปถึงเห็นทะเลสาบทั้งหมดอีกครั้ง จากบนยอดนี้ถึงจะไกลปากปล่องมาหน่อย แต่มองจากที่สูงแล้วสวยมากเลยค่ะ แดด เมฆ หมอก สลับกันโผล่ออกมา เกิดเป็นเงาแปลกๆพาดบนทะเลสาบ ปาล์มยกให้ที่นี่เป็นที่สุดของทริป พริมก็ว่าสวย แต่ยังยึดมั่นกับหาดชมพูที่ซารัยอยู่ดี

มีน้ำสีแดงปนอยู่ในน้ำมินท์ด้วย

ข้างบนมีชาวบ้านมานั่งกับพื้นขายกาแฟขายขนมตลอดทาง นักท่องเที่ยวไม่มีเหลือเลย ทุกคนเดินสวนกลับลงไปตั้งแต่พริมเพิ่งเริ่มเดินขึ้น คงเห็นอยู่แล้วว่าฟ้าครึ้ม ปาล์มหยิบเสื้อกันฝนมาใส่คลุมรอ และแล้วฝนก็ตกลงมาจริงๆ จากปรอยๆเป็นเริ่มตกหนัก พริมรีบวิ่งลงมาจากยอดมาถึงศาลาไม้ริมทาง ชาวบ้านที่ขึ้นมาขายกาแฟก็เข้ามาหลบฝนกันในนี้ นักท่องเที่ยวชาวอินโดที่เพิ่งขึ้นมาถึงก็ตามเข้ามาหลบเช่นกัน นักท่องเที่ยวที่เคลิมูตูเป็นคนอินโดหมดเลยค่ะ แปลกมาก ผิดกับทางฝั่งโคโมโดที่มีแต่ฝรั่งกับชาวจีน คนอินโดเองไม่เห็นเจอ

รูปนี้ถ่ายที่ 12 mm กว้างสุดแล้ว เลยเก็บได้ครบทั้งปากปล่องภูเขาไฟ

ฝนตกอยู่นาน อากาศเริ่มเย็นๆ แต่ทุกคนในศาลาใส่เสื้อหนาวหนาว และมีผ้าพันคอ บางคนถึงกับถูมือไปมา กระโดดๆไล่ความหนาว พริมกับปาล์มมองกันงงๆเมื่อทุกคนกุมแก้วกาแฟแน่นเหมือนกับอยู่บนยอดดอยสูงๆ อากาศจริงๆแล้วเย็นสบายมากค่ะ ลมก็ดีเลย พอฝนเริ่มจาง คนขายกาแฟที่พาลูกชายตัวเล็กมาด้วยก็ชวนพริมเดินลงเขาไปด้วยกัน เค้าช่วยชี้มุมถ่ายรูปสวยๆให้ด้วย นี่ลูกคนขายกาแฟที่อยู่ๆเดินมาโบกผ้า สวย รีบถ่าย คนอินโดทั่วไปนี่น่ารักมาก ใจดีเลย แค่เห็นเราเจริญอาหารบ้านเค้ายังยิ้มเอ็นดูมีความสุข

กลับลงมาที่บังกาโลว์ พวกเราสั่งหมี่โกเร็ง อาหารหลักของประเทศมากิน หมี่ก็คือหมี่ โกเร็งแปลว่าผัด แล้วก็สั่งน้ำอโวคาโดคั้นสดมากินด้วยค่ะ เหมือนเค้าใส่เปลือกมะนาวให้หอมๆ อร่อย กินแล้วไม่เลี่ยนเหมือนทุกที นั่งว่างๆมองฝนที่ตกลงมาอีกครั้ง แล้วก็รู้สึกอยู่บนนี้ไม่มีอะไรทำ เลยขอให้เค้าขับรถไปส่งข้างล่าง บนนี้อากาศเย็นดี แต่ที่พักเรตติ้งสูงสุดแต่ก็ไม่ค่อยน่าพักอยู่ดี น้ำในก๊อกไม่ไหล น้ำชักโครกไม่มี บ้านพักทั้งหลังไม่มีทั้งพัดลมและแอร์ หน้าต่างก็ไม่มีมุ้งลวดด้วย ไม่รู้จะนอนยังไงดี ยุงก็ตัวใหญ่แบบไม่เคยเห็นมาก่อน เลยลงไปนอนข้างล่างดีกว่า แต่ฝรั่งที่ขึ้นมาเที่ยวดูติดใจกันมาก


เช้าวันกลับพริมบินรวดเดียว 3 ไฟลท์ จากเอนเดะ มาลาบวนบาโจ มาบาหลี แล้วถึงจะเป็นกรุงเทพ

เกือบตกเครื่องตั้งแต่ไฟลท์แรก เพราะมันดีเลย์หนักมาก แต่โชคดีว่าทุกไฟลท์ดีเลย์หนักกว่า

บางเรื่องก็สมควรตกเครื่องมาก ก็ยังไม่ตก

ทั้งมัวแต่กิน ทั้งมารู้คืนสุดท้ายก่อนกลับว่าเวลาอินโดเร็วกว่าไทย อยู่มาได้ไงตั้งนานไม่รู้




 

ข้อมูลท่องเที่ยว


การเดินทาง - ✈️ บิน 6 ไฟลท์ (dmk-dps-lbj-ene-lbj-dps-dmk) - 🔸เหมาเรือ 2 วันเที่ยวเกาะต่างๆและหาดชมพู - 🔹เช่ารถขึ้นภูเขาไฟ - 🔹เช่ามอเตอร์ไซค์ 1 วันไปหาดทรายดำ ––– ช่วงเวลาเดินทาง - ฤดูร้อน ไฮ วิวน้ำตาล : เมษา - พฤศจิกา - ฤดูฝน โลว์ วิวเขียว : ธันวา - มีนา - พริมไปมีนา ปลายฝน เจอฝนเกือบทุกวัน เมฆเยอะดี ชอบ แต่ถึงฝนจะตกแดดอินโดก็แรงมาก 2 ชมหน้าไหม้และลอกเป็นแผ่นได้เลย ––– ระยะเวลา ถ้าจะเก็บหมดนี่ อย่างน้อยก็ 5 วันไม่รวมบินไปกลับค่ะ ของพริมไป 7 วัน แวะเที่ยวบาหลีหัวท้ายด้วย ––– เงิน 1,000,000 idr = 2200 thbมาเที่ยวอินโดรู้สึกรวยมาก พกกันเป็นล้านๆ คุยเรื่องเงินคือหลักแสนอัพ ใครคุยหลักร้อยคือคบไม่ได้100,000 เค้าจะเขียน 100.000 ไม่ก็ 100k ตอนแรกงงๆ ทำไมทศนิยมประเทศนี้มี 3 จุด เวลาเรียกเงินแสน เค้าจะเรียก 100 ร้อย สามตัวหลังเค้าจะไม่คุยเลยตอนใช้จ่ายซื้อของ รู้สึกว่าค่าครองชีพพอๆกับต่างจังหวัดบ้านเรา ––– ผู้คน - ใจดี มีอะไรให้ถามคนทั่วไป พูดอังกฤษไม่ได้แต่ก็ช่วยได้เยอะถ้าถามพวกที่หากินกับนักท่องเที่ยว จะชอบโกหกและโก่งราคา - whatsapp สำคัญมาก คุยกับทั้งเรือและที่พักต่างๆ ต้องติดต่อทางนี้แล้วทุกคนจะพร้อมตอบแม้ดึกดื่นเที่ยงคืน ––– อาหาร - ส่วนใหญ่คนที่ flores เป็นคาธอลิคเลยกินหมูได้ ผิดกับเกาะอื่นๆ แต่ตามร้านก็ไม่ค่อยมีเมนูหมู - อาหารคล้ายๆ ไทย ผัดๆ ทอดๆ แต่รสชาติจะเค็มปี๋ส่วนแบบย่างจะไหม้ดำทุกร้าน มองไม่ออกว่าข้างในคืออะไร - อาหารแทบทุกอย่างจะกินกับน้ำพริก รสชาติคล้ายกะปิ ––– ราคาค่าครองชีพ - ร้านในสนามบินบาหลีจานละ 400-500 บาท - ร้านตามสั่ง 35-100 บาท - โฮสเทลคืนละ 200-400 บาท - รถเบโม่ คล้ายๆสองแถว เที่ยวละ 10 บาท



 


เลนส์ที่เหมาะกับคนที่ชอบทั้งเที่ยวและถ่ายรูป


Olympus m.zuiko 12-200 mm. f/3.5-6.3

จริงๆพริมอยากพูดถึงข้อดีของระยะเลนส์ให้กับคนใช้กล้องเพื่อท่องเที่ยวทุกคนเลย

เดี๋ยวเร็วๆนี้จะเอาภาพจากแต่ละระยะมาเทียบให้ดูด้วย ว่าระยะเท่าไหร่ให้มุมมองต่างกันอย่างไร

คือพริมชอบโดนถามบ่อยๆว่าซื้อเลนส์ระยะอะไรดี ถ้าอยากได้เท่าตาเห็นต้องขนาดไหน

ดังนั้นถึงไม่ใช้โอลิมปัสก็ลองอ่านดูได้ค่ะ


ส่วนสำหรับคนที่ใช้โอลิมปัสอยู่ ชอบเที่ยวธรรมชาติ ชอบถ่ายวิว ชอบแบกน้อย

เวลาเอาคิท 14-42 ไปถ่ายรูป แล้วรู้สึกว่ามันไม่พอ กว้างอีกนิด ซูมอีกเยอะหน่อยคงดี

12-200mm คือเหมาะกับคุณที่สุด เหมาะกับพริมด้วย


พริมรีวิวในฐานะคนที่ใช้กล้องเพื่อเก็บความทรงจำระหว่างเที่ยว

มีกล้อง มีเลนส์ เพื่อให้การเที่ยวสนุกขึ้น เห็นโลกสวยขึ้น ไม่ได้รีวิวในฐานะช่างภาพที่จริงจังกับอุปกรณ์และไฟล์รูปนะคะ ดังนั้นข้อดีข้อเสียที่พริมรู้สึก เลยอยู่บนความเห็นแบบนักท่องเที่ยวที่เอาไปผจญภัยมาจริงๆ

ตอบให้ชัดๆ คือ ส่วนตัวชอบเลนส์ตัวนี้ค่ะ

มุมกว้าง

  • 12 (เทียบเท่าฟูลเฟรม 24) อาจไม่ต่างกับระยะ 14 จากคิทมาก แต่ยังไงกว้างกว่าก็ดีกว่าอยู่แล้ว

  • ขอบภาพยังไม่ถึงกับ distort

  • ขอบดำหรือ vignette พริมว่าโผล่ขึ้นมาแค่บางรูป จางๆเท่านั้น สำหรับพริมไม่มีปัญหาเลย

มุมเทเล

  • ที่สำคัญคือตัวนี้ซูมไกลถึง 200 (เทียบเท่าฟูลเฟรม 400!)

  • ภาพที่ตาไม่เห็น เลนส์ก็เห็นให้เราได้ คุณจะได้เห็นวิวต่างๆในมุมมองที่แปลกออกไป เพราะมันเจาะลึกกว่าตาเราเห็นมาก รูปคนออกมาบูชาทะเลที่หาดทรายดำ พริมก็ยังได้มาแบบทั้งขำทั้งง

  • ส่วนนึงที่สนุกกับการถ่ายรูป คือได้คิดและจัดวางคอมโพระหว่างถ่าย เลนส์ซูมมันช่วยครอปความรกๆของฉากที่กว้างออกไป เลยเหลือให้เล่นกับคอมโพได้สนุกขึ้น สะอาดขึ้น

  • ยิ่งซูมเลยยิ่งถ่ายสนุก รูปก็ไม่ค่อยซ้ำกับคนอื่นด้วย

  • เสียนิดหน่อยตรงที่เวลาซูมสุด ขอบภาพจะเบลอๆ และติดดำนิดๆ


แบกน้อย

  • ในเมื่อระยะเลนส์มันครอบคลุมทุกช่วงที่นักท่องเที่ยวต้องการ แบกตัวเดียวก็เพียงพอ ยิ่งแบกน้อยก็ยิ่งสบายตัว จริงๆแล้วทริปนี้พริมเอาเลนส์ฟิกซ์ไปเผื่ออีกตัวค่ะ เผื่อสแนปง่ายๆ ถ่ายที่แสงน้อย เพราะตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเลนส์นี้จะออกมาแบบไหน สรุปไม่ได้หยิบออกมาใช้เลย เพราะ 12-200 ตัวเดียวเอาอยู่หมด เก็บทุกจังหวะ

  • ในเมื่อตัวเดียวเอาอยู่หมด ทั้งทริปพริมเลยไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์อทำให้ไม่พลาดทุกจังหวะที่ต้องการถ่ายต่อเนื่อง ตอนไปแอฟริกา ตอนนั้นเลนส์ตัวนี้ยังไม่ออก ตอนพริมถ่ายสัตว์เลยเปลี่ยนเลนส์สลับไปมาเรื่อยๆ 14-42 กับ 40-150 บางทีกว่าจะเปลี่ยนเสร็จ สัตว์ก็เปลี่ยนท่าแล้ว เสียดายเหมือนกันนะ


รูรับแสง

  • ส่วนตัวไม่ติดอะไร เพราะช่วงระยะถ่ายต้นๆ รูรับแสงมันก็ขยับขึ้นไปคล้ายกับเลนส์คิท ถ้าซูมมากหน่อย มันก็จะกว้างสุดที่ 6.3 ซึ่งตอนกลางคืนพริมไม่เคยเอาไปซูมถ่ายอะไรอยู่แล้ว อาจมีเดินถ่ายเมืองตอนกลางคืนบ้าง ซึ่งก็ใช้มุมกว้างอยู่ดี รูรับแสงก็จะเท่าๆกับคิท นอกจากคุณชอบถ่ายที่แสงน้อย ยังไงก็คงขาดฟิกซ์ไม่ได้


น้ำหนักและขนาด

  • เบากว่าที่คิด

  • ขนาดเลนส์ตอนยังไม่ยืด ยาวเท่ากับกล้อง omd นั่นแหละค่ะ

การแอบถ่าย

  • ไม่คิดจะต้องมารีวิวหัวข้อพิลึกแบบนี้ 555 คือเลนส์มันค่อนข้างใหญ่กว่าคนธรรมดา บางคนเห็นเรายกขึ้นมาก็หลบ แต่ก็มีบ้างที่ไม่หลบ เพราะเค้าคิดว่าเลนส์ยาวมันคงซูมไกลแน่ แต่เปล่าจ้ะ นี่กำลังแอบถ่ายกว้างๆติดคุณอยู่หรือบางทีคนอยู่ไกลมาก เห็นเรายกกล้องก็รู้ว่ากำลังโดนถ่าย เพราะคงไม่คิดว่าเลนส์จะซูมถึง ปรากฏว่า 12-200 วิ่งไปถึงคนไกลๆนั่นได้เลยเลนส์ซูมแบบนี้เลยแอบถ่ายคนทีเผลอสนุกดี

ทนอากาศ

  • สเปคบอก weatherproof ทริปนี้เจอฝนจริงก็รอดอยู่ คนชอบเที่ยว ยังไงก็หนีฝนไม่พ้นค่ะ

เลนส์ไหล

  • น่าจะเป็นข้อเดียวที่ไม่ชอบ มันไม่มีตัวลอคเลนส์ พอสะพายไหล่เดินไปเรื่อย เลนส์ก็ไหลลงมาสุดเลยค่ะ กลัวไปฟาดกับอะไรแล้วพังมากๆ ตอนเดินเลยต้องคอยกำกระบอกเลนส์ไว้ไม่ให้ไหล


bottom of page