Updated: Jan 4, 2020
ขับรถเที่ยวฮอกไกโดในหน้าหนาว มีทั้งวันที่ฟ้าใสไร้เมฆและวันที่พายุหิมะโหมหนักจนมองไม่เห็นทาง
ขาวจนคิดว่าถ้าถ่ายมาลงก็คงเหมือนกระดาษเปล่า หลับตาคงมีค่าเท่ากัน ตื่นเต้น
ทริปนี้จัดให้ครอบครัว แต่ละคนชอบคนละแบบ แต่ไหนๆก็เป็นคนวางแผนเองเลยเทไปทางธรรมชาติเต็มๆ สวยกว่าที่คิดทั้งนั้นเลยค่ะ บังเอิญหลงไปเจอแล้วกลายเป็ฯสิ่งที่ดีงามที่สุดในทริปก็มี นอกจากธรรมชาติแล้ว ยังเพิ่มวันเที่ยวเมืองให้พ่อจับโปเกม่อน เพิ่มออนเซ็นให้แม่ แล้วก็เพิ่มเมืองใหญ่ให้น้องชายช้อปปิ้ง รวมๆแล้ว 8 วันเก็บมาได้ 20 ที่
พริมจัดกระเป๋าเดินทางแค่ครึ่งใบ ไปญี่ปุ่นทีไรต้องเผื่ออีกครึ่งใบไว้ขนของกลับอยู่แล้ว หน้าหนาวนี่ใส่เสื้อผ้าซ้ำกันได้หลายวันโดยไม่เหม็น เลยเตรียมเสื้อผ้าไปน้อย ลืมคิดไปว่าอากาศหนาวๆจะได้ไปกินกุ้งปิ้งปูย่างจนตัวเหม็น เสื้อเหม็นตั้งแต่วันแรกได้เหมือนกัน
6-7 ชั่วโมง ไม่ทันหลับก็มาถึงฮอกไกโดแล้ว พริมเลือกที่จะนั่งบัสเข้าเมือง รีบไปต่อแถวโดยไม่ทันเปลี่ยนกางเกงเลย เป็นคนชอบใส่กางเกงผ้านิ่มๆเบาๆขึ้นเครื่อง เลยได้ยืนรอบัสอยู่ 20 นาทีกลามอุณหภูมิติดลบด้วยกางเกงแสนบาง บนรถบัสไม่มีที่นั่งเหลือ คนขับจึงตามมาสอนวิธีเปิดเก้าอี้ลับ ตลอด 1 ชั่วโมงที่นั่งเข้าซัปโปโรจึงกลายเป็นประชากรชั้น 2 ดึงเก้าอี้เสริมมานั่งขวางทางเดินไป ใครจะออกเราก็ต้องลุกพับเก้าอี้เก็บเพื่อหลีกทาง สงสัยคนญี่ปุ่นเองก็ไม่เคยเห็นถึงได้หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป
ตามแผนคือเย็นนี้จะตรงเข้าเมืองหลวงไปพักเอาแรงก่อน ปล่อยให้ตัวคุ้นเคยกับอากาศหนาวๆซักคืน แล้วพรุ่งนี้จะเริ่มเช่ารถขับเที่ยว
Biei : Christmas Tree
Biei : Mild Seven Hills
Biei : Ken & Mary Tree
Asahidake Ropeway
Shirahige Waterfall
Shirogane Blue Pond
Sounkyo Ice Waterfall Festival
Kitakitsune Farm
Bihorotoge Pass
Lake Kussharo : Wakoto Peninsula Onsen
Lake Kussharo : Ikenoyu Onsen
Lake Kussharo : Sunayu Onsen
Mount Iō
Tsurui Ito Tancho Crane Sanctuary
Tsuruimidai
Washo Fish Market
Noboribetsu Onsen
Jigokudani Hell Valley
Otaru
Sapporo
บิเอ เป็นเมืองเล็กๆที่วิวสวยอัดแน่น มันเรียบๆ โล่งๆ มีทุ่งหิมมากกว่าความเป็นเมือง เป้าหมายแรกคือการตามไปดูต้นไม้สวย พริมคัดมา 3 ต้นที่เห็นแวบแรกในกูเกิ้ลแมพแล้วถูกชะตา ตอนบอกสมาชิกในรถว่าเราจะไปดูต้นไม้กันนะ เสียง ห๊ะ ลอยกลับมาทันที ไม่ต้องถามมาก ไม่รู้จะอธิบายยังให้คนเข้าใจว่าต้นไม้มันสวยยังไง แต่มั่นใจค่ะว่าพอทุกคนได้เห็นก็จะว่าสวยเอง ชื่นชมคนที่ปั้นต้นไม้พวกนี้ให้โด่งดังมากๆค่ะ เพราะถ้าขับผ่านเฉยๆ คงไม่มีโอกาสเห็นความสวยของมันแน่ๆ
เรียบง่ายแต่สวยที่สุด ในบรรดาต้นไม้ที่แวะดู ขอเทใจให้ต้นคริสต์มาสต้นนี้อันดับหนึ่งเลยค่ะ ไม่ว่ากล้องที่ใช้จะเป็นยังไง ถ่ายมาเลย ดีทุกมุม
ตอนหาชื่อนี้ในกูเกิ้ลแมพ มันพาไปที่ที่มีต้นไม้สวยอยู่ก็จริง แต่หน้าตาไม่เหมือนในรูปเลย ไม่มีนักท่องเที่ยวซักคนด้วย ต้องขับต่อมาอีกซักพักถึงจะเจอรถจอดอยู่เต็ม เสียดายอยู่อย่างที่มีคนไม่เชื่อฟังกติกาที่ปักไว้ คงเดินลุยหิมะเข้าไปหวังถ่ายต้นไม้ใกล้ๆ กลายเป็นว่าคนที่ตามมาทีหลังจะถ่ายต้นไม้ทีไร ก็ติดรอยทางที่คนนั้นย่ำไว้ทุกที วิวแบบนี้มันสวยตรงความน้อยแต่เนี๊ยบซะด้วยสิ
ถ้าไป 2 ที่แรกมาก่อน อาจไม่แวะดูต้นนี้ สวยแต่ไม่พิเศษเท่าไหร่
อุทยานไดเซทสึนั้นกว้างใหญ่กินพื้นที่หลายเมือง ด้านบนมียอดเขาสูงอยู่เป็น 10 ยอด หน้าร้อนสามารถเดินเทรคข้ามไปยอดนู้นยอดนี้ได้ค่ะ แต่หน้าหนาวแบบนี้ปิด ถึงเทรคไม่ได้ แต่ก็มีกระเช้าจากสกีรีสอร์ทพาขึ้นไปบนนั้นถึง 2 ฝั่ง คือ Sounkyo ซุนเคียวทางฝั่งตะวันออก และ Asahidake อาซาฮีดาเกะทางฝั่งตะวันตกค่ะ อันแรกนั้นปิดปรับปรุงอยู่พอดี เลยต้องเปลี่ยนมาขึ้นอาซาฮีดาเกะแทน
หิมะตกมาตลอดทาง ถนนสีเทาถูกคลุมใหม่จนขาว รายทางมีสกีรีสอร์ทเปิดอยู่ เห็นนักท่องเที่ยวที่มาพักแถวนี้มีเล่นสโนว์บอร์ดกลับเข้ารีสอร์ทแทนการเดินด้วย
กระเช้าที่พาขึ้นสู่ยอดเขาอาซาฮีนั้นค่อนข้างใหญ่ นอกจากพริมที่ขึ้นไปเพื่อดูวิวแล้ว ที่เหลือก็แต่งตัวกันเต็มยศมาเล่นสกีและสโนว์บอร์ด ต้นสนกระจายอยู่เต็มภูเขาแต่เริ่มเลือนลางเข้าไปทุกทีเมื่อใกล้ถึงยอด ยิ่งสูง หิมะยิ่งสาดกระจายหนักขึ้นเรื่อยๆ จนทุกอย่างกลายเป็นสีขาว
เมื่อกระเช้าจอดสนิท นักกีฬาทั้งหมดก็กรูออกไปอย่างรวดเร็ว พริมอยากถ่ายตอนพวกเค้าถลาลงมาเลยรีบย่ำตามไป แต่เพียงพริบตาคนทั้งฝูงก็หายไปหมด ไม่รู้ว่ากลืนไปกับหิมะหรือแล่นลงเขากันหมดแล้ว ทั้งฟ้าทั้งพื้นเป็นสีเดียวกันจนแยกไม่ออก แล้วหิมะก็สาดใส่หน้าตลอดเวลาจนมองไม่เห็นทาง แก้มถูกหิมะกัดจนแดงก่ำ มือแข็งจนไม่มีแรงกดชัตเตอร์ อยู่ไปก็ไม่เห็นวิวอยู่ดีเลยตัดสินใจว่าจะลงเขาแล้วล่ะ
พอกลับลงมาเลยเห็นว่าทุกคนที่เจอข้างบน สกีลงมานั่งอุ่นๆกันในร้านกาแฟหมดแล้ว
กลับถึงโรงแรมคืนนั้นพบว่าแก้มยังไม่หายแดง รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าจนอยากเอาหิมะมาโปะ ร้อนจนแผ่ความร้อนไปถึงคนที่นั่งข้างๆได้ด้วย พอไปส่งกระจกดูใกล้ๆถึงพบว่ามันไม่ใช่แก้มแดงชมพูธรรมดา มันเป็นปื้นนูนๆเหมือนลมพิษเลย กูเกิ้ลดูเลยคิดว่าน่าจะคล้ายกับคนที่แพ้ความหนาว ชะล่าใจเองว่าเคยอยู่กับอากาศติดลบบ่อยๆน่าจะไม่เป็นอะไร แต่หนนี้คงเพราะโดนเต็มๆและเปลี่ยนอุณหภูมิเร็วไปหน่อย เลยกินยาแก้แพ้และทายาเย็นๆไป แต่ใจกลับร้อนรนกว่าเดิม สัญญาเลยว่าวันต่อๆไปจะพันผ้าพันคอ ใส่หน้ากาก ให้ปิดแก้ม แบบที่เห็นคนญี่ปุ่นชอบใส่กัน
ยังคงอยู่ในเมืองบิเอนะคะ พริมเห็นน้ำตกนี้ครั้งแรกจากไอจีของใครซักคนจำไม่ได้ แคปเก็บไว้เพราะชอบมากเลย ผ่านไปหลายปีตอนเคลียร์รูปในมือถือ ถึงได้เห็นว่าตัวเองมีรูปน้ำตกชิราฮิเกะในหน้าหนาวเก็บไว้เพียบ ถึงเวลามีรูปของตัวเองซะที
แค่ขึ้นไปบนสะพานก็มองเห็นมุมสวยๆของน้ำตกได้แล้ว หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆทำให้น้ำตกยิ่งขาว และภาพก็ฟุ้งไปหมด
บ่อน้ำสีฟ้าแห่งนี้ก็เป็นอีกจุดหมายหลักที่อยากมาเห็นในฮอกไกโด จำได้ว่าเป็นวอลเปเปอร์ที่แถมมากับแมคบุคอยู่รุ่นหนึ่ง สวยมากจริงๆ บ่อน้ำสีฟ้าใสกับต้นไม้สีดำสนิทมีหิมะขาวเกาะด้านบน ลืมคิดไปเลยว่าการที่น้ำยังคงเป็นน้ำสีฟ้าสดแบบในรูป น้ำต้องไม่แข็ง เล่นมาปลายเดือนมกราคมแบบนี้ จบเลย
บ่อน้ำกลายเป็นทุ่งหิมะเพราะแผ่นน้ำเป็นน้ำแข็งแล้วหิมะก้ต้องลงมาทับเป็นทุ่ง
บ่อน้ำชิโรกาเนะอยู่ห่างจากน้ำตกเพียง 5 นาทีขับรถ พริมมาถึงตอนพระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว สี่โมงครึ่ง บรรยากาศทั้งท้องฟ้าและหิมะเป็นสีน้ำเงินสลัวๆ ยิ่งมืด นักท่องเที่ยวกลับเยอะขึ้นเรื่อยๆ เค้ามาดูไฟกันค่ะ แสงที่ส่องลงมาเปลี่ยนรูปเปลี่ยนเงาไปเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวก็ยังเฉยๆอยู่ดี
ถ้าครั้งหน้ามีโอกาสจะมาเดือนพฤศจิกายน อยากได้จอคอมที่คุ้นเคยแต่เป็นฝีมือตัวเองบ้าง
ทั่วฮอกไกโดมีเทศกาลน้ำแข็งเป็นสิบๆ ที่ใหญ่ๆ ดังๆ ก็มาก แต่เทศกาลน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็งแห่งเมืองซุนเคียวเป็นที่เดียวที่พริมอยากมาและตามหามานาน ชอบฟอร์มธรรมชาติของน้ำแข็งมากกว่าพวกรูปปั้นหรือการแกะสลัก
มีเวลาไม่มาก เพราะเดี๋ยวต้องขับรถไปฟาร์มจิ้งจอกให้ทันก่อนปิด งานน้ำแข็งเริ่มเปิดตั้งแต่บ่าย 2 ซึ่งเป็นเวลาที่แดดยังแรงอยู่ ท้องฟ้าปลายเดือนมกราจะเริ่มเข้มขึ้นประมาณ 4 โมงค่ะ ภายนอกงานจึงยังไม่ได้เปิดไฟสีรุ้งๆแบบงานน้ำแข็งที่คุ้นเคย อาจถือว่าโชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาเด็ด นักท่องเที่ยวเลยน้อยมากๆ ทั้งงานน่าจะมีไม่ถึง 10 คน กลายเป็นว่าพออยากให้มีคนแพลมๆเข้ามาในรูปบ้างนี่ต้องยืนรอเลย
งานน้ำแข็งซุนเคียวไม่ใหญ่ ประกอบด้วยถ้ำน้ำแข็งที่ภายในเต็มไปด้วยแท่งน้ำแข็งสีฟ้าใสย้อยลงมาจากเพดาน เยอะจนเหมือนเป็นม่านซ้อนๆกันอยู่ จะว่าเป็นแผงน้ำตกที่แข็งแบบช่ืองานก็คงได้ มองขึ้นไปก็เสียวมันตกเสียบหน้า ถึงข้างนอกจะยังไม่เปิดไฟ แต่ภายในถ้ำมีไฟสีหวานๆเปิดสะท้อนให้น้ำแข็งสวยดี เดินดูได้เพลินๆ ยิ่งคนน้อยแบบนี้ 30 นาทีก็จบสบายๆ
ตอนออกจากงานน้ำแข็ง คนเพิ่งทยอยเข้างานกันเอง เราต้องรีบบึ่งรถไปฟาร์มจิ้งจอกที่อยู่ห่างไปเป็นชั่วโมง ต้องให้ทันก่อนมันปิดตอน 4 โมงเย็นด้วยค่ะ กูเกิ้ลแมพพาเราไปสุดอยู่ที่แม่น้ำ แต่จริงๆแล้วจะไปฟาร์มก็ต้องข้ามแม่น้ำไป กองหิมะสูงๆบังจนไม่เห็นทางเลย ดีว่ามีคนขับรถยักษ์มาโกยหิมะออกพอดี จึงตามเค้าออกไป แล้วก็เห็นป้ายรูปจิ้งจอกชี้บอกทางข้ามแม่น้ำอยู่
ที่ฟาร์มมีรถบัสจอดอยู่หลายคัน นักท่องเที่ยวจีนทั้งนั้นเลย พริมไปถึงก่อนเวลาปิด 10 นาที คนทั้งหมดเลยเดินสวนออกมาแล้ว ลองไปเขย่าๆประตูเผื่อจะยังเข้าไปได้อยู่ ที่แท้เค้าแค่ล็อคเพราะคนขายบัตรเดินไปขายไอติมอยู่ นึกว่าจะอดซะแล้ว โชคดีในโชคดีที่มาตอนเวลาปิดแต่เค้ายังยอมให้เข้า มารู้ทีหลังว่ามีทัวร์จีนอีกคันบอกไว้ว่าจะมาแต่เหมือนจะมาสาย เค้าเลยยังเปิดรออยู่ งานน้ำแข็งก็ไปก่อนชาวบ้าน พอจิ้งจอกก็มาหลังชาวบ้าน นี่เลยเป็นเหตุผลที่ถ่ายอะไรมาก็ดูโล่ง
หลังจากซื้อตั๋วเสร็จก็เค้าก็ปล่อยให้เดินผ่านประตูเข้ามาเองจนถึงกรง ไม่มีเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยวอื่นๆเลย เริ่มลังเลว่าเราสามารถเปิดประตูรั้วที่กั้นจิ้งจอกไว้แล้วเดินเข้าไปเองได้จริงๆหรอ จดจ้องๆอยู่นานเพราะว่ากลัวโดนจิ้งจอกกิน สุดท้ายก็เปิดเข้าไปแต่ก็ยืนอยู่ติดรั้วไม่ยอมไปไหน ส่วนสมาชิกคนอื่นๆก็ยังไม่มีใครยอมตามเข้ามาซักที ต้องหันไปเรียก เรียกทีนึงก็ยอมเข้ามาคนนึง ที่เหลือก็ยืนเกาะกรงกันอยู่ ต้องเรียกทีละคนๆ ตลกดี เหลือแม่คนสุดท้ายที่เกาะกรงไม่เข้าซักที เลยต้องช่วยกันเรียกให้เข้ามา
จิ้งจอกตัวส้มดูชินกับนักท่องเที่ยวดีถึงไม่ได้วิ่งหนีไปไหน แต่มันก็คงมีคอมฟอร์ทโซนของมัน เพราะถ้าใกล้ไป มันก็จะเดินห่างไปเอง เราสามารถเดินตามดูพวกมันและถ่ายรูปได้อย่างอิสระ แต่ห้ามวิ่ง ห้ามจับ ห้ามให้อาหาร มีจิ้งจอกนั่งหัวสูงอยู่บนหลังคา วิ่งไล่กัน มุดท่อเล่น และตะกุยๆๆหิมะ แต่มีตัวนึงตลกดี มันทำแมลงตกใกล้ๆเรา เลยได้แต่ยืนยึกๆยักๆ เดี๋ยวก้าวเดี๋ยวถอย อยากมากินแมลงที่ทำหล่นไว้แต่ให้เข้าใกล้เราก็ไม่กล้า สุดท้าย ความอยากกินย่อมชนะความกลัว! แล้วทัวร์ที่มาสายก็มาถึง คนหลายสิบกรูกันเข้ามาในกรง นั่นเลยเป็นเวลากลับของเราพอดี
ออกมาว่าจะไปซื้อแอปเปิ้ลกิน แต่ไกด์จีนที่ปล่อยลูกทัวร์เข้าไปเดินเล่นรีบเข้ามาบอกว่า เค้าเหมาหมดทุกๆลังให้ลูกทัวร์แล้ว ก็เลยจะไปซื้อไอติมกินแทน ในตู้น่าจะมีเกิน 30 ถ้วย กำลังจะสั่ง ไกด์จีนคนเดิมก็รีบเข้ามาบอกว่า ไม่ได้ๆ เค้าเหมาทั้งตู้ไว้ให้ลูกทัวร์เค้าแล้ว อดทุกอย่าง!
เพราะเมื่อคืนอากาศคงชื้นมาก นี่จึงเป็นเช้าที่สวยที่สุดในทริปเลย นอกจากท้องฟ้าจะเป็นสีฟ้าครามสะอาดตาไร้เมฆ ต้นไม้ทุกต้นที่ขับผ่านล้วนเป็นสีขาว น้ำค้างแข็งจับกิ่งก้านเป็นผลึกแวววาว เป้าหมายวันนี้คือไปเที่ยวทะเลสาบ ซึ่งต้องขับรถข้ามภูเขาไปก่อนตามเส้นทางที่ชื่อว่าบิโฮโร
ยิ่งขับขึ้นสูง โลกข้างบนนี้ก็เหลือแค่สีขาวน้ำเงิน
วิวสวยจนรู้สึกว่าควรต้องหยุดรถ แล้วบนยอดสุดก็มีลานจอดรถให้แวะถ่ายรูปจริงๆ ช่วงสายๆแบบนี้อบอุ่นขึ้นมาหน่อยแล้ว อยู่ที่ -14 องศา แต่ความรู้สึกจริงคือหนาวกว่านั้นมากๆ วันไหนที่ฟ้าสีเทาๆ หิมะตก ความหนาวจะไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นวันที่ฟ้าสดใสแดดออกแรงแบบนี้เมื่อไหร่ หนาวทรมานทุกที และยิ่งอยู่บนยอดเขา ลมก็ยิ่งแรง
ห่อตัวจนหนาให้เหลือแต่ตาแล้วก็เดินขึ้นไปอีกนิด ใบไม้ใบหญ้าระหว่างทางเต็มไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง แดดส่องพื้นจนเป็นประกายระยิบระยับ สวยมากๆ
บิโฮโรโทเกะ หรือเส้นทางขับรถบิโฮโร (โทเกะน่าจะหมายถึงเส้นทางขับรถบนเขา) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติอะคัง Akan เช่นเดียวกับทะเลสาคุชชาโร Kussharo ที่เรากำลังจะไปค่ะ มองจากบนนี้เห็นวิวทะเลสาบชัดเลย ขับลงไปแป๊บเดียวน่าจะถึง มันสามารถเดินสูงขึ้นไปจากจุดที่ถ่ายรูปได้อีก แต่ลมหนาวตีจนมือชาไปหมดแล้ว ปกติพริมใส่ถุงมือข้างเดียวจะได้จับกล้องถ่ายสะดวกๆ ซึ่งมือข้างที่ใช้ถ่ายรูปชาจนคิดว่าถึงเดินขึ้นสูงกว่านี้ก็ถ่ายอะไรไม่ไหว เราขับรถลงไปเที่ยวทะเลสาบต่อดีกว่า
เห็นทะเลสาบคุชชาโรจากมุมสูงมาแล้ว ขับลงไปเที่ยวเลยดีกว่า ทะเลสาบแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นลอคเนสส์แห่งญี่ปุ่น เพราะเคยมีรายงานหลายครั้งว่าพบสัตว์ประหลาดในน้ำเหมือนเนสซี่ Nessie of Loch Ness ในสกอตแลนด์ สัตว์ประหลาดที่หลายคนว่าพบในคุชชาโรเลยได้ชื่อว่าคุชชี่ Kusshie of Kussharo น่าเอ็นดู พอได้รู้เรื่องนี้ในหัวก็มีภาพการ์ตูนโดเรม่อนตอนโนบิตะเลี้ยงไดโนเสาร์พีสุเกะทันที
เมื่อถึงเวลาที่หนาวมากๆจนผิวน้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง หิมะจะตกมาทับจนทะเลสาบกลายเป็นสีขาว และคุชชาโรจะกลายเป็นทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นทันที หงส์ฝูงใหญ่จะอพยพหนีหนาวจากขั้วโลกมาอาศัยหากินแถวนี้ เป็นเหมือนออนเซ็นสำหรับพวกมันเลย แต่พริมไม่แน่ใจว่าตำแหน่งไหนของทะเลสาบที่หงส์มาชุมนุมกันเยอะๆ พอลงจากเขาเลยขับวนไปรอบทะเลสาบ ได้จุดเที่ยวสวยๆมา 3 ที่
เหมือนจะเห็นป้ายบอกทางแขวนอยู่บนหัวเลยลองขับเข้าไปดู มีรถคนญี่ปุ่นจอดรอแล้ว 2 คัน วัยรุ่นที่เอาโดรนมาบิน กับคุณป้าที่แบกเลนส์ขาวท่อนโตมาตามถ่ายนก เนื่องจากบริเวณนี้เป็นคาบสมุทรเล็กๆที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ เวิ้งน้ำจึงมี 2 ฝั่ง ด้านนึงเป็นปลายทางของบ่อน้ำร้อน มีหมอกลอยกรุ่นเหนือผิวน้ำที่นิ่งใสเป็นกระจก กระจกบานนี้สะท้อนภาพภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะได้คมชัด สวยมากเลย ทางเดินรอบเวิ้งน้ำเป็นหิมะขาวฟู ยังไม่มีคนย่ำไปที่ชายน้ำเลย ส่วนอีกฟากดูกว้างขวางกว่า มีหงส์ลอยนิ่งๆอยู่ 4 ตัว ตอนแรกพริมเข้าใจว่านี่แหละคือทะเลสาบที่ทุกคนมาดูหงส์กัน ได้แต่คิดว่าคงโชคไม่ดีเองที่เจอหงส์แค่นี้แถมอยู่ไกลเหลือเกิน คนอื่นมาเค้าเจอทีเป็นร้อยอยู่ริมฝั่ง
มีทางแยกเข้าใกล้น้ำทีไรเป็นต้องเลี้ยวเข้ามาดูทุกที สวยมาก สวยขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าไม่มีนักท่องเที่ยวซักคน ตอนที่แวะไม่รู้หรอกค่ะว่าสถานที่นี้ชื่ออะไร กลับมาจึงต้องเปิดแมพไล่ดูเส้นทางขับรถของตัวเองว่ามันคือจุดไหนแน่ แล้วชื่อยังเป็นภาษาญี่ปุ่นให้ต้องตามไปถอดมาเองอีก แต่สวยน่าลงทุน ตอนที่จอดรถอยู่หน้าบ่อน้ำร้อน หมอกลอยบางๆขวางวิวตรงหน้า แต่พอเดินมาจนถึงทะเลสาบก็หลงรักที่นี่ทันที
คำแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวคือนิวซีแลนด์ ภาพทุกอย่างเห็นเป็น 2 ชั้นเพราะทะเลสาบสีเข้มที่เรียบสนิทสะท้อนเงาของภูเขาหิมะและท้องฟ้าลงมาหมด ต้นกกแห้งๆที่ขึ้นริมฝั่งเป็นสีเหลืองอ่อน ริมฝั่งที่เป็นโขดหินมีน้ำแข็งแท่งใสห้อยย้อยลงมาระผิวน้ำ บรรยายมากกว่านี้ไม่ถูกแล้วค่ะ
ชอบที่นี่มากที่สุดในทริปฮอกไกโด
จริงๆพอใจกับทะเลสาบคุชชาโรผ่าน 2 ที่แรกที่แวะมากแล้ว ไม่สนเลยว่าจะหาจุดดูหงส์เยอะๆไม่เจอ เลยว่าจะขับไปเที่ยวอีกทะเลสาบนึงที่อยู่ข้างๆต่อ แต่ขับมาเรื่อยๆดันเจอรถทัวร์จอดอยู่เพียบ คนเดินกันเต็มเลย รู้ทันทีว่านี่คือที่ที่เคยตามหา หงส์วูเปอร์เยอะมากจริงๆด้วย ชายหาดซูนายุนั้นอบอุ่น มีน้ำพุร้อนหล่อเลี้ยงอยู่ข้างใต้ ทำให้หงส์ชอบมาชุมนุมกันแถวนี้ในหน้าหนาว ส่วนหน้าร้อนนักท่องเที่ยวสามารถขุดหาดทรายให้เป็นบ่อออนเซ็นส่วนตัวสำหรับนั่งแช่เท้าได้เลยค่ะ
ระหว่างขับลงใต้เพื่อไปดูนกกระเรียน เห็นควันแน่นๆจำนวนมากลอยขึ้นมาบนฟ้าที่ไม่มีแม้แต่เมฆ แล้วกลิ่นไข่เน่าก็โชยตุๆเข้ามาในรถ จึงมั่นใจว่าที่นั่นต้องเป็นภูเขาไฟแหล่งแร่กำมะถัน แต่เนื่องจากที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในแผนมาก่อนเลยขับเลยไป มองผ่านกระจกหลังกลับไปเสียดายซะงั้น เลยไปกลับรถในซอยข้างหน้า มีฝูงม้าใหญ่ม้าแคระยืนกันบนลานหิมะ และก็มีหมาเฝ้าฟาร์ด้วย
อิโอ ชื่อนี้หมายถึงภูเขาไฟกำมะถัน เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่หลับ
หน้าภูเขาซึ่งเป็นจุดจอดรถมีรถจอดอยู่เพียงคันเดียว ผิดวิสัยที่เที่ยวฮอกไกโดช่วงหน้าหนาวมากๆ ตอนแรกว่าจะถ่ายรูปแค่นั้นแล้วก็กลับ แต่มองไปไกลๆมีคนเดินอยู่ตรงจุดกำเนิดควันด้วย ต้องลุยหิมะเข้าไป
ยิ่งใกล้ พื้นปุ่มๆฟูๆก็ปรากฏให้เห็น คงเป็นส่วนผสมบางอย่างระหว่างกำมะถันกับหิมะที่ดูแล้วก็น่ารักดี มีเด็กจีนวิ่งเล่นกลิ้งกันไปมาบนพื้นหิมะโดยไม่กลัวเลยว่าตัวจะต้องคลุกกับกำมะถันพวกนี้ด้วย
ควันพุ่งขึ้นฟ้าไปสูงมาก สูงพอที่จะบังแสงจากดวงอาทิตย์ตอนเกือบ 11 โมงได้ รอบบริเวณจึงตกอยู่ในร่มเงาของควัน ทุกอย่างเป็นสีฟ้าเย็นๆสบายตาสบายใจถ้าไม่มีกลิ่นไข่เน่าตามมารบกวน มีบ้างที่ลมเปลี่ยนทิศ แสงแดดจึงส่องมาถึงพื้นได้สำเร็จ
ถ่ายเสร็จก็ย่ำหิมะกลับมาในร้านค้าที่แม่กับน้องนั่งกินไข่ต้มกำมะถันรออยู่ วิวภายในร้านสวยมาก เห็นภูเขาและกลุ่มควันชัดเจนผ่านกระจกใสบานใหญ่ถึงเพดาน วิวเดียวกับที่พริมย่ำหิมะเข้าไป เพียงแต่ไม่มีกลิ่นไข่เน่าและอบอุ่นกว่ามาก อุ่นพอที่จะหยิบมือถือมาถ่าย timelapse อัดให้ควันลอยขึ้นฟ้าเร็วๆเก็บไว้เป็นที่ระลึก ขืนไปยืนข้างนอกถ่ายคงมือแข็งทำมือถือตกก่อน
ไม่เคยเสียใจที่ตัวเองพกแต่เลนส์ฟิกซ์มาเที่ยวเท่าทริปนี้เลย ไหนใครบอกนกกระเรียนอยู่ใกล้มากคะ ถ่ายออกมาตัวนิดเดียวเอง แอบซูมครอปเพิ่มแล้วด้วย
ช่วงหน้าหนาว จะมีนกกระเรียนมงกุฎแดง Tancho หนีหนาวจากซีกโลกเหนือมาหากินที่แหล่งน้ำร้อนบนเกาะฮอกไกโดอยู่หลายแห่ง รวมถึง 2 ที่ที่พริมเลือกไปดูในวันนี้ด้วยค่ะ 2 ที่นี้ต่างกันมากตรงประเภทของคนที่มาดูนก เรียกว่าถิ่นโปรกับขาจร
ที่นี่คือในรูปบน ประมาณ 3 โมงแล้ว ช่างภาพและอุปกรณ์ถ่ายรูปมากมายยังคงปักหลักเฝ้านกกระเรียนไม่ไปไหน แต่ละคนดูอยู่มาหลายชั่วโมงแล้วด้วย เคยได้ยินคำว่าบ้องเลนส์ใหญ่เท่าแขนมั้ยคะ ถ้ามีที่นี่ คุณจะมีความคิดขึ้นมาว่าเลนส์ทั้งหมดที่ชี้ไปทางฝูงนกมันใหญ่เท่าต้นขาชัดๆ ขาตั้งกล้องเรียงหน้ากระดานกันแน่น ริมรั้วแทบไม่มีที่ให้นักท่องเที่ยวอย่างเราแทรกเข้าไปถ่ายรูปเลย มองผ่านช่องว่างระหว่างไหล่เห็นเพียงแดดที่ส่องจนพื้นหิมะขาวๆกลายเป็นรีเฟล็กซ์แผ่นยักษ์สะท้อนแสงให้นกเกือบร้อยตัว พวกนกก็เดินกันด๋องแด๋ง คุ้ยๆเขี่ยๆบ้าง จนพื้นหิมะแถบนั้นดูขรุขระพิกล สรุปคือถ้ามาจับจองพื้นที่ทัน เอาเลนส์ซูมมาถ่ายที่นี่ก็คงสวยเลยค่ะ ถ่ายนกที่ขยับตัวตลอดเวลาแบบนี้มันสนุกอยู่แล้ว
ชอบเสียงของชื่อนี้ ถ้าเมื่อกี๊เป็นถิ่นของโปรที่เฝ้านกกันเป็นชั่วโมงๆ ตรงนี้ก็เป็นที่ของนักท่องเที่ยวขาจรที่ควักมือถือขึ้นมาถ่ายรูปนกแป๊บๆก็จากไป ตลอดแนวยาวของรั้วไม่มีผู้คนผิดกับที่แรกที่มีคนยืนเรียงจนกลายเป็นรั้วมนุษย์ซะเอง ถึงจะเข้าถึงง่าย นกอยู่ระยะไกลพอกัน แต่ยอมรับว่าวิวที่แรกเด็ดกว่ามาก นกก็มากกว่าเป็นสิบเท่า
จุดดูนกกระเรียนตอนพระอาทิตย์ขึ้นที่นักดูนกและช่างภาพต่างบอกว่าสวยสลบ คือต้องยืนดูจากกลางสะพานโอโตวะ เสียดายที่พริมพักในตัวเมืองซึ่งขับรถไกลจากที่นี่เกือบชั่วโมง สมาชิกในทริปไม่มีใครอยากตื่นมาจองพื้นที่เฝ้านกตั้งแต่ตี 4- 5 นกในแสงเช้าจึงถูกปัดตกไป ได้แต่สัญญากับตัวเองว่าถ้ามีโอกาสอีกเมื่อไหร่จะไม่ปล่อยเลย เคยมีคนเอาภาพนกกระเรียนที่นี่มาให้ดู เห็นกี่ทีก็หลงรัก เป็นนกกระเรียนเต้นรำในแสงแดดสีทอง แม่น้ำที่ไหลเอื่อยฟุ้งไปด้วยหมอก หิมะโปรยบางๆ กับต้นไม้ที่ถูกน้ำค้างแข็งเกาะพราวจนขาว ใครยังไม่เคยเห็นไปเสิร์ชกูเกิ้ลดูด่วนเลยค่ะ เพราะรอบนี้ไม่มีรูปมาฝาก
อยากรู้ข้อมูลเรื่องสถานที่ดูนกกระเรียนทั้งหมด ไปที่ลิงค์นี้เลยค่ะ Kushiro Shitsugen National Park หลายสถานที่ที่เค้าแนะนำไม่มีปรากฏในกูเกิ้ลแมพด้วยซ้ำ
พริมไม่มีข้อมูลเรื่องเมืองคูชิโร Kushiro ที่มาพัก แต่รู้ว่าเป็นเมืองทางตอนใต้ของเกาะ และนักท่องเที่ยวจำนวนมากก็เลือกพักเมืองนี้เพื่อไปดูนกกระเรียน ตลอดทางที่ขับมามองเห็นทะเล เห็นโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ๆ รวมทั้งท่าเรือและกิจการประมง คงพอจะนึกภาพกันออกว่าเป็นเมืองแบบไหน
สิ่งที่ทำให้เลือกแวะเมืองนี้ คือ ตลาดปลาวาโช ปลาดิบพร้อมกินบรึมเต็มตู้ อยากได้ชิ้นไหนก็เลือกคีบใส่ถาดเองได้เลยค่ะ อารมณ์แบบเข้าร้านโดนัทบ้านเรา อยากให้หั่นชิ้นเล็กลงก็บอกเค้าได้ อยากกินหอยนางรมสด ถ้าเค้าไม่มี เค้าก็วิ่งไปซื้อต่อจากร้านอื่นมาให้เราได้อยู่ดี อยากกินคู่กับข้าว เค้าก็พาเดินไปซื้อที่ร้านข้าว ข้าวญี่ปุ่นร้อนๆกินที่ญี่ปุ่นนี่อร่อยที่สุดแล้ว มาตลาดปลาแต่ดันชื่นชมข้าวซะได้
กลับมาที่ตู้คีบตรงหน้าบ้างดีกว่า โดยรวมพริมชอบมากกว่าตลาดปลา 2-3 ที่ที่เคยไปตอนเที่ยวญี่ปุ่นครั้งก่อนๆนะคะ รวมถึงสึคิจิด้วย ร้านที่อยู่ติดกันราคาอาจต่างกันมาก
ไข่หอยเม่นหวานมัน ละมุนสุดๆ พูดแล้วอยากกินอีก
คือตอนกินไข่หอยเม่นที่โตเกียวหรือพวกร้านดังๆตามเมืองต่างๆยังมีคาวมีขมปนมาบ้าง แต่ที่เมืองนี้กินแล้วหวานหอมนวลๆ
หอยเชลล์ดิบตัวใหญ่ๆ เนื้อสด หวาน เด้ง
สารพัดปูฮอกไกโด เนื้อหวานๆติดเค็ม ลองทั้งแบบเนื้อที่แกะมา ลองก้าม ลองหน้าอกปูด้วย เป็นแผ่นสีแดงแปร๊ด พ่อค้าบอกอร่อยมาก สุดยอดดด แต่พริมว่าเหนียวหนืดเหมือนกินยางลบ
ท้องทูน่าหรือโอโท่โร่ ดีตามความคาดหมาย ราคาเหมือนกินแค่มากูโร่ที่ไทยเลย
หอยนางรมสด กินกับพอนสึรสส้มยูสุ เนื้อหอยนางรมออกเด้งๆ เบาๆ กลิ่นไม่ค่อยแรงถ้าเทียบกับพวกหอยนางรมสดที่ไทยชอบอิมพอร์ทเข้ามา แต่ส่วนตัวยังไงหอยนางรมสุราษฎร์ที่มีความครีมมี่ก็ชนะเลิศค่ะ ยังไม่ทันนับรวมเครื่องเคียงบ้านเราเลยนะเนี่ย
เมืองเมื่อคืนอยู่ฝั่งขวาล่างของฮอกไกโด โนโบริเบทสึที่คืนนี้จะไปพักก็เรียกว่าอยู่ซ้ายล่างเลย วันนี้จึงต้องขับรถไกล เป้าหมายคือหุบเขานรก จุดกำเนิดแร่กำมะถันที่ส่งมายังออนเซ็นในเรียวกัง ที่พักคืนนี้
ด้วยความที่ไปกี่ครั้งก็ยังไม่ชินกับวัฒนธรรมการแช่ออนเซ็น จึงมักรอดึกๆให้ทุกคนในเรียวกังหลับไปก่อนถึงจะยอมไปแช่ คืนนั้นคนเยอะมากเลย นึกว่าจะไม่ได้แช่ซะแล้ว กว่าจะสบช่องได้ครองบ่อก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ดีใจที่ยอมรอ น้ำร้อนๆควันโขมงในบ่อกลางแจ้ง กับอากาศติดลบ มีหิมะโปรยลงมาไม่หยุด แช่ตัวไม่นานหัวก็ขาวไปด้วยหิมะ ร้อนๆ หนาวๆ เลือดวิ่งจนวูบวาบ
เช้านี้หิมะหยุดแล้ว คนของเรียวกังกวาดหิมะออกจากรถให้เรียบร้อยพร้อมเดินทาง จิโงคุดานิ หุบเขานรกอยู่ใกล้นิดเดียว
รถจอดกันเต็มลาน รถทัวร์จอดอยู่ก่อนแล้วหลายคัน เพิ่งรู้ว่าฮอกไกโดฮิตมากในหมู่คนจีนและเกาหลี ส่วนคนไทยตั้งแต่เที่ยวนอกเมืองมา 5 วันยังไม่เจอเลยค่ะ เดาว่าต้องไปแน่นในเมืองใหญ่แน่ๆ
ที่นี่มีเทรลสั้นยาวให้เลือกเดิน ลมหนาวตีมาจนแสบหน้า ขอเป็นทางที่สั้นที่สุดก่อนละกัน แม่กับน้องชายสมัครใจไม่เดิน ส่วนพ่อก็ลื่นล้มไปทีเลยไม่เดินต่อ เหลือพริมเดินไปดูสุดทางคนเดียว ยอมรับว่าพื้นลื่นจริงๆ เด็กๆที่เดินไปก็ล้มเอาๆจนร้องไห้จ้า เลยเดินเกาะราวข้างๆหนึบเป็นทาร์ซานโหนรั้วเลย
ไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไร เพราะจริงๆมันก็สวยของมันมาตลอดทางที่เดินอยู่แล้วค่ะ ขาวสว่าง สวยงามขนาดนี้ ไม่ใช่หุบเขานรกแล้ว เป็นสวรรค์ไปเถอะ
ไปถึงแล้วก็ไม่มีอะไร เพราะจริงๆมันก็สวยของมันมาตลอดทางที่เดินอยู่แล้วค่ะ ขาวสว่าง สวยงามขนาดนี้ ไม่ใช่หุบเขานรกแล้ว เป็นสวรรค์ไปเถอะ
เวลาวางแผนโรดทริปในหน้าหนาว นอกจากต้องแข่งกับเวลาฟ้ามืดเพราะพระอาทิตย์ตกเร็วมากๆแล้ว ยังต้องคอยปรับเปลี่ยนแผนให้รับกับสภาพอากาศด้วย หิมะที่เกาะตามต้นไม้และป้ายบอกทางหนาเป็นก้อนมาชมาลโล่ยักษ์ แม่บอกเหมือนต้นไม้ราดครีม พ่อบอกเหมือนถุงพลาสติกสีขาวลอยไปติดเต็มต้นไม้มากกว่า
วันสุดท้ายที่เช่ารถขับ วางแผนไว้ว่าจะเที่ยวหุบเขานรกในบทก่อนหน้าแล้วจะขึ้นกระเช้าไปดูวิวที่ Niseko อยากดูความสมมาตรของภูเขาโยเทอิ Yotei ที่ได้ชื่อว่าเป็นฟูจิแห่งฮอกไกโด (มีใครเป็นเหมือนพริมมั้ย ไปญี่ปุ่นมา 5-6 ทีแต่ไม่เคยเห็นฟูจิเลย ฟ้าไม่เคยเป็นใจ) แต่หิมะตกมาเรื่อยๆ ฟ้าก็ขุ่นมัว ขึ้นไปคงไม่เห็น อะไรที่เกี่ยวกับคำว่าฟูจิ เราคงไม่มีสิทธิ์จริงๆ เลยเปลี่ยนเส้นทางขับรถกลับซัปโปโรแทน ปรากฏว่ายิ่งขับผ่านไฮเวย์ซึ่งเป็นเส้นทางภูเขามาเรื่อยๆ จากหิมะโปรยธรรมดาเริ่มกลายเป็นพายุหิมะหนักจนรถทุกคันต้องเปิดไฟกะพริบฉุกเฉิน
ขับต่อๆกันมาในระยะห่างที่คงที่ เพราะถ้าใกล้คันหน้าเกินไปก็จะโดนหิมะที่ฟุ้งขึ้นมาทำให้มองอะไรไม่เห็น ถ้าไกลไปก็หาไฟท้ายรถคันหน้าไม่เจอ รถคันหน้านี่เหมือนผู้นำทางให้รู้ว่าถนนกำลังไปทางไหน ถ้าห่างไปคงกะระยะเลนถนนลำบากด้วย เพราะมันแยกไม่ออกจริงๆว่าขอบทางซึ่งเป็นกองหิมะขาวๆสูงครึ่งหนึ่งของตัวรถ กับถนนขาวๆที่รถวิ่งสวนกัน เส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหน พื้น ท้องฟ้า ขอบทางคือสีเดียวกัน เลยเพิ่งเข้าใจว่าป้ายลูกศรที่ห้อยเหนือถนนเป็นระยะๆ มันคือลูกศรที่ชี้ให้เรารู้ว่านี่คือเลนฝั่งไหน แต่ตอนที่หิมะหนักสุดๆ แม้แต่ป้ายนี้ก็มองไม่เห็น จนมีครั้งนึงที่ขับไปทิ่มกองหิมะข้างท้างเข้าไปทั้งคัน และอีกครั้งที่ไหลไปกินเลนรถสวน น่ากลัวมากๆ หยุดก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวคันหลังที่ตามมาจะชนเอา
ที่ปัดน้ำฝนทำงานเร็วจนมองแทบไม่ทัน แต่หิมะก็ยังพุ่งใส่กระจกหน้ารถจนทุกอย่างขาวไปหมด ช่วงที่หนักสุดๆคือมองไม่เห็นแม้แต่กระโปรงหน้ารถตัวเอง หลับตาขับรถอาจค่าเท่ากัน ถ้าพริมถ่ายช่วงหนักๆมาลงจริงๆคงคิดว่าเป็นกระดาษเปล่า ลุ้นจนใจเต้น ไปต่อแบบเสียวๆ หยุดก็ไม่ได้ หรือถ้าพักข้างทางแล้วหิมะหนักจนทางปิดขึ้นมายิ่งแย่ไปกันใหญ่ เลยต้องฝืนไปต่อ พอถึงซัปโปโรเห็นท้ายรถตัวเองแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหลังๆถึงไม่เห็นไฟท้ายคันหน้า นึกว่าเค้าลืมเปิดซะอีก ทะเบียนก็ไม่เห็นด้วย
หมดการผจญภัยไว้แค่นี้ก่อน เข้าซัปโปโร 2 คืน สบายแล้ว ช่วงเทศกาลน้ำแข็งทำให้โรงแรมทุกแห่งเต็มเร็วมาก ค่าห้องก็สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ขนาดกลับก่อนวันเปิดเทศกาลยังหาที่พักถูกใจแทบไม่ได้เลย ห้องพักเล็กๆสำหรับ 2 คนตกคืนละเกือบ 5000 บาท
เนื่องจากไม่ได้ขับรถไปโอตารุ เลยนั่งรถไฟไปแทน หิมะตกหนักอีกแล้ว พริมลงรถไฟที่สถานี Minami Otaru ว่าจะเดินยาวๆเที่ยวเมืองไปซัก 2 กิโล เพราะที่เที่ยวก็อยู่ตามรายทางนี้เลย แล้วค่อยไปขึ้นรถไฟกลับจากสถานี Otaru แทน กว่าจะไปถึงฟ้าก็มืดพอดี โอตารุเริ่มประดับประดาด้วยไฟ มีเพลงบรรเลงเปิดคลอทั่วถนน เหมือนเมืองนี้จะยังฉลองคริสต์มาสปีใหม่กันไม่เสร็จ บรรยากาศน่ารักๆเลยยังอบอวลไปทั่ว
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงคนไทย ป้ายต่างๆตามร้านค้าก็เป็นภาษาไทย ที่เคยสงสัยว่าขับรถเที่ยวนอกเมืองมาหลายวันทำไมไม่มีคนไทยเลย ทั้งที่ฮอกไกโดฮิตจะตาย เค้ามาเที่ยวเมืองนี้กันนี่เองค่ะ พวกร้านกล่องเพลง คลอง หรืออะไรต่างๆ แวะไปแล้วก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ คนมันแน่นไปหมด ปกติเราจะขับรถเที่ยวกัน ไม่ต้องเดินเยอะ พอมาโอตารุที่ต้องเดินข้ามสถานี พ่อกับแม่เลยล้มกันเป็นว่าเล่น วันนั้นทั้งวันพ่อจัดใหญ่ๆไป 3-4 รอบ จนถึงกับหันมาถามพริมว่าถ่ายทันบ้างมั้ย แล้วให้ไปตั้งกล้องรอเวลาข้ามถนนได้ละ แม่เองก็ล้มพร้อมถุงเค้กแต่ก็ลุกขึ้นมาแบบเค้กสวยงามเรียบร้อยเฉยเลย
ซึ่งวิธีเดินบนหิมะที่ถูก คือเดินแบบยกเท้าย่ำๆ อย่าลากเท้า อย่าใช้ปลายเท้าดันส่งเพื่อไปข้างหน้า และต้องเลือกเหยียบหิมะที่ดูขาวๆ ฟูๆ หรือถ้าละลายเป็นเหมือนสเลอปี้ก็เหยียบได้ แต่เห็นตรงไหนเป็นน้ำแข็งใสๆให้รีบเลี่ยง ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าลื่นๆพวกนี้มักอยู่ตามริมทางข้ามถนนที่คนมายืนรอไฟกันบ่อยๆ แล้วเหยียบซ้ำๆจนหิมะอัดกันแน่นเป็นน้ำแข็ง